tag:blogger.com,1999:blog-17830209324045337922024-03-14T03:19:38.922+07:00เพลงชาติไทย ประเพณีไทย วัฒนธรรมไทย รักษาไว้เพื่อคนไทย บทความวิชาการ ชาติไทย ประเพณีไทย คติ ความเชื่อ ภูติผี เทพเจ้าและประเพณีไทยที่รับอิทธิพลมาจากศาสนาฮินดู ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comBlogger50125tag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-25736883806093857972016-02-08T12:39:00.000+07:002016-02-08T13:06:50.595+07:00ประวัติและที่มาของ "เพลงชาติไทย"<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://3.bp.blogspot.com/-VpvcSiVfUf4/VrgrZNImv-I/AAAAAAAAXE8/jY93avZzwDo/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="209" src="https://3.bp.blogspot.com/-VpvcSiVfUf4/VrgrZNImv-I/AAAAAAAAXE8/jY93avZzwDo/s320/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">ธงชาติไทย</td></tr>
</tbody></table>
<b><br /><a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2016/02/blog-post.html" target="_blank">เพลงชาติไทย</a> หลายคนอาจจะไม่รู้จักที่มาและที่ไปรวมถึงการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งมีอยู่หลายเวอร์ชั่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพลงชาติไทยนั้น</b> เป็นชื่อเพลงชาติของสยามและประเทศไทย ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. 2475 คำร้องฉบับแรกสุดโดยขุนวิจิตรมาตรา ซึ่งแต่งขึ้นภายหลังในปีเดียวกัน ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อร้องอีกหลายครั้งและได้เปลี่ยนมาใช้เนื้อร้องฉบับปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 2482<br />
<br />
<b>กำเนิดของเพลงชาติไทย</b><br />
ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้มีการใช้เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงถวายความเคารพพระมหากษัตริย์ต่างชาติที่เสด็จเยี่ยมประเทศสยามตามธรรมเนียมสากล แม้เพลงดังกล่าวไม่ใช่เพลงชาติของประเทศสยามอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็ถืออนุโลมว่าเป็นเพลงชาติโดยพฤตินัยตามหลักดังกล่าว<br />
<br />
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ประกาศใช้เพลงชาติมหาชัย ซึ่งประพันธ์เนื้อร้องโดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นเพลงชาติอยู่ 7 วัน (ใช้ชั่วคราว ระหว่างรอพระเจนดุริยางค์แต่งเพลงชาติใหม่) แต่ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาเป็นเพลงชาติฉบับที่แต่งทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการแทนเพลงสรรเสริญพระบารมี<br />
<br />
<br />
<b>พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ผู้ประพันธ์ทำนองเพลงชาติไทย</b><br />
ที่มาของทำนองเพลงชาติไทยในปัจจุบันนั้น จากบันทึกความทรงจำของพระเจนดุริยางค์ ได้เล่าไว้ว่า ราวปลายปี พ.ศ. 2474 เพื่อนนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของท่าน คือ หลวงนิเทศกลกิจ (กลาง โรจนเสนา) ได้ขอให้ท่านแต่งเพลงสำหรับชาติขึ้นเพลงหนึ่ง ในลักษณะของเพลงลามาร์แซแยส ซึ่งพระเจนดุริยางค์ได้บอกปฏิเสธ เพราะถือว่าเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงชาติอยู่แล้ว ทั้งการจะให้แต่งเพลงนี้ก็ยังไม่ใช่คำสั่งของทางราชการด้วย แม้ภายหลังหลวงนิเทศกลกิจจะมาติดต่อให้แต่งเพลงนี้อีกหลายครั้งก็ตาม พระเจนดุริยางค์ก็หาทางบ่ายเบี่ยงมาตลอด เพราะท่านสงสัยว่าการขอร้องให้แต่งเพลงนี้เกี่ยวข้องกับการเมือง ประกอบกับในเวลานั้นก็มีข่าวลือเรื่องการปฏิวัติอย่างหนาหูด้วย<br />
<br />
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ผ่านไปได้ประมาณ 5 วันแล้ว หลวงนิเทศกลกิจ ซึ่งพระเจนดุริยางค์รู้ภายหลังว่าเป็น 1 ในสมาชิกคณะราษฎรด้วย ได้กลับมาขอร้องให้ท่านช่วยแต่งเพลงชาติอีกครั้ง โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของคณะผู้ก่อการ ท่านเห็นว่าคราวนี้หมดทางที่จะบ่ายเบี่ยง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานั้นอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ จึงขอเวลาในการแต่งเพลงนี้ 7 วัน และแต่งสำเร็จในวันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ตนได้กำหนดนัดหมายวันแต่งเพลงชาติไว้ ขณะที่นั่งบนรถรางสายบางขุนพรหม-ท่าเตียน เพื่อไปปฏิบัติราชการที่สวนมิสกวัน จากนั้นจึงได้เรียบเรียงเสียงประสานสำหรับให้วงดุริยางค์ทหารเรือบรรเลง โดยได้เลือกใช้ทำนองคล้ายคลึงกับเพลงมาซูแร็กดอมบรอฟสกีแยกอและมอบโน้ตเพลงนี้ให้หลวงนิเทศกลกิจนำไปบรรเลง ในการบรรเลงตนตรีประจำสัปดาห์ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมในวันพฤหัสบดีถัดมา พร้อมทั้งกำชับว่าให้ปิดบังชื่อผู้แต่งเพลงเอาไว้ด้วย<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ศรีกรุงก็ได้ลงข่าวเรื่องการประพันธ์เพลงชาติใหม่โดยเปิดเผยว่า พระเจนดุริยางค์เป็นผู้แต่งทำนองเพลงนี้ ทำให้พระเจนดุริยางค์ถูกเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ เสนาบดีกระทรวงวัง ตำหนิอย่างรุนแรงในเรื่องนี้ แม้ภายหลังพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี จะได้ชี้แจงว่าท่านและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้คิดการแต่งเพลงนี้ และเพลงนี้ก็ยังไม่ได้รับรองว่าเป็นเพลงชาติเนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการทดลองก็ตาม แต่พระเจนดุริยางค์ก็ได้รับคำสั่งปลดจากทางราชการให้รับเบี้ยบำนาญ ฐานรับราชการครบ 30 ปี และหักเงินเดือนครึ่งหนึ่งเป็นบำนาญ อีกครึ่งที่เหลือเป็นเงินเดือน โดยให้รับราชการต่อไปในอัตราเงินเดือนใหม่นี้ ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง<br />
<br />
<br />
<b>ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) ผู้ประพันธ์คำร้องเพลงชาติฉบับแรกสุด</b><br />
ส่วนเนื้อร้องของเพลงชาตินั้น คณะผู้ก่อการได้ทาบทามให้ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) เป็นผู้ประพันธ์ โดยคำร้องที่แต่ขึ้นนั้นมีความยาว 2 บท สันนิษฐานว่าเสร็จอย่างช้าก่อนวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เนื่องจากมีการคันพบโน้ตเพลงพร้อมเนื้อร้องซึ่งตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์ศรีกรุง ซึ่งลงวันที่ตีพิมพ์ในวันดังกล่าว[3] แม้เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปก็ตาม แต่เพลงนี้ก็ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นเพลงชาติ และมีการจดจำต่อๆ กันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครรู้ที่มาชัดเจน ดังปรากฏว่า มีการคัดลอกเนื้อเพลงชาติของขุนวิจิตรมาตราส่งเข้าประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยอ้างว่าตนเองเป็นผู้แต่งด้วย<br />
<br />
เนื้อร้องที่ขุนวิจิตรมาตราประพันธ์เริ่มแรกสุดแต่ไม่เป็นทางการ และ เป็นฉบับต้องห้าม ก่อนที่จะมีการแก้ไขเมื่อมีการประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ ใน พ.ศ. 2476 มีดังนี้<br />
<br />
<b>(โปรดเทียบกับเนื้อร้องฉบับราชการ พ.ศ. 2477 ในหัวข้อ เพลงชาติไทยฉบับ พ.ศ. 2475 และ พ.ศ. 2477)</b><br />
<br />
<b>แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตต์แดนสง่า<br />สืบชาติไทยดึกดำบรรพ์บุราณลงมา<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ร่วมรักษาเอกราษฎร์ชนชาติไทย</b><br />
<b>บางสมัยศัตรูจู่มารบ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ไทยสมทบสวนทัพเข้าขับไล่</b><br />
<b>ตะลุยเลือดหมายมุ่งผดุงผะไท<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา</b><br />
<b>อันดินแดนสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า</b><br />
<b>เอกราษฎร์คือเจดีย์ที่เราบูชา<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เราจะสามัคคีร่วมมีใจ</b><br />
<b>ยึดอำนาจกุมสิทธิ์อิสสระเสรี<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้</b><br />
<b>เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินของไทย<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>สถาปนาสยามให้เทิดชัยไชโย</b><br />
<b><br /></b>
ในปี พ.ศ. 2477 รัฐบาลได้จัดประกวด<b>เนื้อร้องเพลงชาติใหม่ </b>โดยมีคณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติเป็นผู้ดำเนินการ ประกอบด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเป็นประธาน มีกรรมการท่านอื่นๆ ดังนี้คือ พระเรี่ยมวิรัชพากย์, พระเจนดุริยางค์, หลวงชำนาญนิติเกษตร, จางวางทั่ว พาทยโกศล และนายมนตรี ตราโมท การประกวดเพลงชาติในครั้งนั้นได้ดำเนินการประกวดเพลงชาติ 2 แบบ คือ เพลงชาติแบบไทย (ประพันธ์ขึ้นโดยดัดแปลงจากดนตรีไทยเดิม) และเพลงชาติแบบสากล ซึ่งผลการประกวดมีดังนี้
<br />
<br />
<b><u>1. เพลงชาติแบบไทย</u></b><br />
คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติได้ตัดสินให้ผลงานเพลง "มหานิมิตร" ซึ่งประพันธ์โดย จางวางทั่ว พาทยโกศล เป็นผลงานชนะเลิศ เพลงมหานิมิตรนี้จางวางทั่วได้ประพันธ์ดัดแปลงมาจากเพลงหน้าพาทย์สำคัญของไทยที่มีชื่อว่า "ตระนิมิตร" ให้สามารถบรรเลงเป็นทางสากล ซึ่งเพลงตระนิมิตรนี้ เป็นเพลงที่ถือว่าเป็นเพลงครู นักดนตรีจะใช้บรรเลงในพิธีสำคัญต่างๆ เช่น งานไหว้ครู บรรเลงเป็นการอัญเชิญครูบาอาจารย์ เทวดาทั้งหลายมาประชุมกันเพื่อความเป็นสิริมงคล ดังนั้นจึงมีความหมายอันควรแก่การเคารพนับถือเป็นสิริมงคล เหมาะสมที่จะใช้เป็นเพลงชาติไทยได้<br />
<br />
รัฐบาลได้ทดลองบรรเลงออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงอยู่ระยะหนึ่ง แต่ต่อมาเมื่อคณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติจะเสนอผลการประกวดให้คณะรัฐมนตรีประกาศรับรองนั้น คณะกรรมการฯ ได้ประชุมกันและมีความเห็นว่า เพลงชาติมีลักษณะที่บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ หากมีการใช้อยู่ 2 เพลง จะทำให้คลายความศักดิ์สิทธิ์ลง จึงได้ตัดสินใจไม่เสนอเพลงชาติแบบไทยที่ได้คัดเลือกไว้ให้คณะรัฐมนตรีประกาศรับรองเป็นเพลงชาติในที่สุด<br />
<br />
<u><br /></u>
<b><u>2. เพลงชาติไทยแบบสากล</u>
</b><br />
คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติมีความเห็นให้ใช้ทำนองเพลงซึ่งประพันธ์โดยพระเจนดุริยางค์เป็นทำนองเพลงชาติแบบสากล สำหรับบทร้องนั้นได้คัดเลือกบทร้องของขุนวิจิตรมาตราซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมเป็นบทร้องชนะเลิศ และได้เพิ่มบทร้องของนายฉันท์ ขำวิไล ซึ่งเป็นบทร้องที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศเข้าอีกชุดหนึ่ง คณะรัฐมนตรีได้ประกาศรับรองให้เป็นบทร้องเพลงชาติฉบับราชการเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477<br />
<br />
<b>เพลงชาติไทย</b>ในบทร้องทั้งของขุนวิจิตรมาตราและนายฉันท์ ประพันธ์ในรูปฉันทลักษณ์แบบกลอนสุภาพ (กลอนแปด) ความยาว 4 บท แต่ละบทมี 4 วรรค ผลงานของแต่ละคนจึงมีความยาวของบทร้องเป็น 16 วรรค เมื่อนำมารวมกันแล้วจึงทำให้บทร้องเพลงชาติทั้งหมดมีความยาวถึง 32 วรรค ซึ่งนับว่ายาวมาก หากจะร้องเพลงชาติให้ครบทั้งสี่บทจะต้องใช้เวลาร้องถึง 3 นาที 52 วินาที (เฉลี่ยแต่ละท่อนรวมดนตรีนำด้วยทั้งเพลงตกที่ท่อนละ 35 วินาที) ในสมัยนั้นคนไทยส่วนใหญ่จึงนิยมร้องแต่เฉพาะบทร้องของขุนวิจิตรมาตรา และต่อมาภายหลังจึงไม่มีการขับร้อง คงเหลือแต่เพียงทำนองเพลงบรรเลงเท่านั้น
<br />
<br />
<b><u>เพลงชาติสยามฉบับสังเขป พ.ศ. 2478</u></b><br />
ในปี พ.ศ. 2478 รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนาได้ออกระเบียบการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติ ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (มีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน) ระเบียบดังกล่าวนี้ได้มีการกำหนดให้แบ่งการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติออกเป็น 2 แบบ คือ การบรรเลงแบบพิสดาร (บรรเลงตามความยาวปกติเต็มเพลง) และการบรรเลงแบบสังเขป ในกรณีของเพลงชาตินั้น ได้กำหนดให้บรรเลงเพลงชาติฉบับสังเขปในการพิธีที่เกี่ยวข้องกับประชาชน สโมสรสันนิบาต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีปกติ ส่วนการบรรเลงแบบเต็มเพลงนั้นให้ใช้ในงานพิธีใหญ่เท่านั้น<br />
<br />
ท่อนของเพลงชาติที่ตัดมาใช้บรรเลงแบบสังเขปนั้น คือท่อนขึ้นต้น (Introduction) ของเพลงชาติ (เทียบกับเนื้อร้องเพลงชาติฉบับปัจจุบันก็คือตั้งแต่ท่อน สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี จนจบเพลง) ความยาวประมาณ 10 วินาที ไม่มีการขับร้องใดๆ ประกอบ<br />
<br />
<br />
<b><u>เพลงชาติไทย พ.ศ. 2482 - ปัจจุบัน</u></b><br />
ในปี พ.ศ. 2482 "ประเทศสยาม" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น<b> "ประเทศไทย"</b> รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่เช่นเดิม แต่กำหนดให้มีเนื้อร้องความยาวเพียง 8 วรรคเท่านั้น และปรากฏคำว่า "ไทย" ซึ่งเป็นชื่อประเทศอยู่ในเพลงด้วย ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องเพลงชาติไทย โดยแก้ไขคำร้องจากต้นฉบับที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน<br />
<br />
เนื้อร้องของหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกไทยก่อนแก้ไขเป็นฉบับทางการมีดังนี้ (สำหรับเนื้อร้องฉบับประกาศใช้จริง ดูได้ในหัวข้อ เนื้อเพลง)<br />
<br />
<i> ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐไผทของไทยทุกส่วน</i><br />
<i>อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี</i><br />
<i>ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่</i><br />
<i>สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัย ชโย</i><br />
<br />
<br />
<br />
การประกวดเพลงชาติไทยครั้งนี้ได้ปรากฏหลักฐานว่ามีกวีและผู้มีชื่อเสียงในทางการประพันธ์เพลงหลายท่าน เช่น เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี แก้ว อัจฉริยะกุล ชิต บุรทัต เป็นต้น ซึ่งรวมถึงผู้ประพันธ์เนื้อเพลงชาติสองฉบับแรก (ขุนวิจิตรมาตรา และฉันท์ ขำวิไล) ได้ส่งเนื้อร้องของตนเองเข้าประกวดด้วย แต่ปรากฏว่าไม่ผ่านการตัดสินครั้งนั้น เฉพาะเนื้อร้องที่ขุนวิจิตรมาตราแต่งใหม่นั้น ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า "ไทย" ถึง 12 ครั้ง<br />
<br />
<br />ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-27360515714337473522013-11-27T14:56:00.002+07:002013-11-27T15:07:24.760+07:00รีวิวหนังสือนักสืบยอดนิยม(โดยนักสืบเจ้าสำราญ) <br />
หนังสือ<b>นักสืบ</b>ยอดนิยมที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆของหนังสือนักสืบ ไม่ว่าเป็นใครถ้าอยู่ในวงการ<b>นักสืบ</b>จะเป็นนักสืบมือใหม่มือเก่าก็ต้องอ่านอย่างแน่นอน<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-fH-00stuKmo/UpWgwTUetzI/AAAAAAAAGj4/R_SJZKMoqSc/s1600/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%87.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-fH-00stuKmo/UpWgwTUetzI/AAAAAAAAGj4/R_SJZKMoqSc/s1600/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%87.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="font-size: small; text-align: start;">ยอดนักสืบกับจอมโจรลูแปง</span></td></tr>
</tbody></table>
หนังสือการ์ตูนยอด<b>นักสืบ</b>จอมโจรลูแปง :ตอน นักสืบเผชิญหน้าเชอร์ล็อก โฮมส์
การโจรกรรมเพชรสีน้ำเงินโดยจอมโจรลูแปง ที่แท้แต่ตำรวจยังจนปัญญา ทำให้สุดยอดนักสืบอย่างเชอร์ล็อก โฮมส์ ต้องออกโรงเอง
<br />
<br />
เมื่อผู้ร้ายมาเจอกับสุดยอด<b>นักสืบ </b>งานนี้ไม่มีใครยอมใคร <b>นักสืบ</b>โฮมส์ตั้งใจจะจับจอมโจรผู้นี้เข้าคุกให้ได้ แต่ลูแปงไม่ใช่หมูอย่างที่คิด แล้วเรื่องจบอย่างไร ยอดนักสืบจอมโจรลูแปงผจญภัยในท้องทะเลเป็นหนังสือ<b>นักสืบ</b>แนะนำเป็นชุดการ์ตูนวิทยาศาสตร์แสนสนุกช่วยให้เด็กฉลาด
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-lyc0p8NvksQ/UpWhfVbuQuI/AAAAAAAAGkA/VgN4LsswkAo/s1600/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-lyc0p8NvksQ/UpWhfVbuQuI/AAAAAAAAGkA/VgN4LsswkAo/s1600/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="font-size: small; text-align: start;">นักสืบล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าในอียิปต์</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<b><a href="http://www.consultvip.com/" target="_blank">นักสืบ</a></b>ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าในอียิปต์
หนังสือ<b>นักสืบ</b>ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าในอียิปต์หนังสือเล่มนี้จะพาเด็กๆ ไปรวมไขปริศนาพีระมิด ค้นหาแมลงทองคำ พร้อมการผจญภัยแสนตื่นเต้น เมื่อ "ฮีโร่" เด็กหนุ่มนักล่าขุมทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นหาสมบัติ และประวัติศาสตร์โลก เดินทางมาอียิปต์ เพื่อไขปริศนาพีระมิดลึกลับ ที่ซ่อนสมบัติของฟาโรห์ แต่ภารกิจนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด ฮีโร่และพรรคพวกต้องถอดรหัสอักษรไฮโรกลิฟิก เผชิญคำสาปมัมมี่ ตามหาแมลงทองคำ และต่อสู้กับกลุ่มโจรร้ายที่หวังแย่งชิงสมบัติ พวกเขาจะปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จหรือไม่ เมื่ออันตรายมีอยู่รอบตัว
ติดตามพร้อมกันได้แล้วในเล่ม
<br />
<br />
<b>นักสืบ</b>ผจญภัยบนเส้นทางวิบาก
ทาโร่<b>นักสืบ</b>หนุ่มไม่นึกฝันว่าตนต้องออกเดินทางด้วยจักรยานเพียงคันเดียว เขาต้องออกเดินทางไปกับคุณพ่อผ่านทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลของประเทศจีน เป็นเวลากว่า 1 เดือน การผจญภัยสุดวิบากครั้งนี้เต็มไปด้วยเรื่องตื่นเต้น ทั้งการแข่งขันกับคู่แข่งที่ขี้โกง การเรียนรู้วิธีขี่จักรยานเสือภูเขา การเดินทางในทะเลทรายที่แห้งแล้ง และการได้ท่องเที่ยวในประเทศจีนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ <br />
<br />
<b>นักสืบ</b>ผจญภัยบนเส้นทางของการผจญภัยและการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของ<b>นักสืบ</b>สำรวจระดับโลก เป็นเส้นทางที่เชื่อมโลกตะวันออกและตะวันตกถึงกันตั้งแต่เมื่อราวสองพันปีก่อน เส้นทางสายนี้จึงเต็มไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมาย รวมถึงความมหัศจรรย์ทางภูมิประเทศ และสภาพแวดล้อม ที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวที่รักการสืบเสาะผจญภัยมาเดินทางตามรอยนักบุกเบิกบนเส้นทางสายวัฒนธรรมนี้
<br />
<br />
<br />
<center>
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="//www.youtube.com/embed/KJECqdpGNp4" width="560"></iframe></center>
<center>
<i>วีดีโอนักสืบสายน้ำ <span style="background-color: white; color: #333333; line-height: 17px;"><span style="font-family: inherit;">การจัดกิจกรรมนักสืบสายน้ำ ของชมรมหัวใจสะพายเป้ โรงเรียนบ้านหนองบัว จังหวัดตราด โดยครูทศพล ถนอมพงษ์</span></span></i></center>
<center>
<i><span style="background-color: white; color: #333333; line-height: 17px;"><span style="font-family: inherit;"><br /></span></span></i></center>
<center style="text-align: left;">
<i><span style="background-color: white; color: #333333; line-height: 17px;"><span style="font-family: inherit;">เครดิตและแรงบันดาลใจในการหาความรู้เกี่ยวกับนักสืบหลังจากที่อ่านและค้นหาข้อมูลความรู้ต่างๆเกี่ยวกับนักสืบจากเว็บ </span></span></i><a href="http://www.consultvip.com/"><i>http://www.consultvip.com</i></a></center>
<center style="text-align: left;">
<span style="background-color: white; color: #333333; line-height: 17px;"><span style="font-family: inherit;"><br /></span></span></center>
ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-46015825328956798652013-11-14T12:30:00.000+07:002013-11-14T12:31:33.892+07:00คำขวัญประจำจังหวัด : อัตลักษณ์ความเป็นท้องถิ่น<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-M8nGSgZ1vV4/UoRfQOdfWzI/AAAAAAAAGhg/AX7Vms1vVHw/s1600/1211771323.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="251" src="http://1.bp.blogspot.com/-M8nGSgZ1vV4/UoRfQOdfWzI/AAAAAAAAGhg/AX7Vms1vVHw/s320/1211771323.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; text-align: justify; text-indent: 36.0pt; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%;"><br /><br /><b><a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2013/11/blog-post.html" target="_blank">คำขวัญประจำจังหวัด</a></b>ในประเทศไทยทั้ง
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%;">76
<span lang="TH">จังหวัดนั้น ส่วนใหญ่มักจะนำลักษณะโดดเด่นทั้งทางภูมิประเทศ ผู้คน
อาหาร วัฒนธรรม มาแต่งเป็นข้อความสั้น ๆ ที่คล้องจองกัน</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; text-align: justify; text-indent: 36.0pt; text-justify: inter-cluster;">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-language: EN-US;">คำขวัญประจำจังหวัด</span></b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-language: EN-US;"> เป็น</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-language: EN-US;"><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8D"><span lang="TH" style="color: windowtext; text-decoration: none; text-underline: none;">คำขวัญ</span></a><span lang="TH">ที่แต่ละ</span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94"><span lang="TH" style="color: windowtext; text-decoration: none; text-underline: none;">จังหวัด</span></a><span lang="TH">ในประเทศไทยแต่งขึ้น เพื่อบ่งบอกถึง</span><a href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1" title="เอกลักษณ์ (หน้านี้ไม่มี)"><span lang="TH" style="color: windowtext; text-decoration: none; text-underline: none;">เอกลักษณ์</span></a> <span lang="TH">ความภาคภูมิใจ
และความโดดเด่นที่มีอยู่ในจังหวัดนั้น ๆ มักเป็นคำคล้องจองสั้น ๆ เพื่อให้จดจำง่าย
นอกจากคำขวัญประจำจังหวัดแล้ว ปัจจุบันยังมีการแต่งคำขวัญประจำท้องถิ่นในส่วนย่อยลงไปอีก
เช่น คำขวัญประจำอำเภอ คำขวัญประจำเขต (ในกรุงเทพมหานคร) เป็นต้น คำขวัญประจำจังหวัดซึ่งเราจะแยกเป็นหมวดหมู่ตามภาคต่างๆ ติดตามอ่านกันได้ที่นี่เลยจ้า</span></span>ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-81832172213567095472013-10-02T22:54:00.003+07:002013-10-02T22:54:57.669+07:00มนตราในยุคอินเดียโบราณ<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-XzD5zQ4XjfM/UkxBHgCYy9I/AAAAAAAAF5I/7jeRbtbRnuA/s1600/%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/-XzD5zQ4XjfM/UkxBHgCYy9I/AAAAAAAAF5I/7jeRbtbRnuA/s320/%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93.jpg" width="233" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">มนตราในยุคอินเดียโบราณ</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ความเชื่อที่ว่ามนุษย์ มีความสามารถในการจัดการกับพลังที่มองไม่เห็น และบังคับให้กระทำสอดคล้องกับความต้องการของตนนั้น ได้แพร่หลายในทั่วประเทศและในหลายช่วงเวลา อาจกล่าวได้ว่า มนตราได้รับการเชื่อว่าเป็นพลังที่มองไม่เห็นและสถิตอยู่ในพิธีกรรม ความเชื่อนี้ได้กลายมาเป็นแนวคิดในศาสนา อาจกล่าวได้ว่า<br />
<br />
การใช้มนตราเป็นวิทยาศาสตร์ในยุคแรก ความแตกต่างที่สำคัญคือ ในวิทยาศาสตร์ เราจะเชื่อในผลลัพธ์ซึ่งมาจากเหตุ แต่มนตราล้มเหลวในการแสดงให้เห็นผล ศาสนาไม่เห็นด้วยทั้งมนตราและวิทยาศาสตร์ เพราะทั้งสองต้องพึ่งพาสมมุตฐานซึ่งวิธีทางของธรรมชาติและมนุษยชาติจะถูกควบคุมโดยบุคคลหรือการสมมุติโดยสิ่งที่เหนือมนุษย์
ความเชื่อในมนตราหรือเรียกอีกอย่างว่าความเชื่อในทางไสยศาสตร์ ความเชื่อในไสยศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของมนุษย์<br />
<br />
ในประเทศอินเดียมีศาสนาที่สำคัญ ๓ ศาสนาคือ ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน และศาสนาฮินดู ในอินเดียวิถีทางการพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับเวทมนตร์สามารถแสดงร่องรอยผ่านวรรณกรรมอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า ๓,๐๐๐ ปี ปรากฏในฤคเวท ของศาสนาพราหมณ์ อาถรรพเวท กัลปสูตร ธรรมสูตร ปุราณะ ตันตระ และปัญจาระตันตระ
ในปุราณะแสดงเรื่องราวอย่างต่อเนื่องของความสำเร็จในมนตราศุกระจาริยาได้เตือนให้กษัตริย์อย่าได้เสียเวลากับผู้ที่ใช้มนตรากับตันตระ<br />
<br />
เวลาในช่วงหลังของพุทธศตวรรษที่ ๑๒ จนถึงการมาถึงของอำนาจแห่งมูฮัมหมัดในอินเดีย ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคของตันตระ ในยุคนี้ได้พัฒนาตรรกวิทยาให้อยู่เหนือวัฒนธรรมแห่งจิตวิญญาณ และนำไปสู่ความหลากหลายของวิธีการสำหรับการฝึกฝนจิต และเพื่อการพัฒนาพลังแห่งจิตวิญญาณอย่างไม่หยุดหย่อน
ในระหว่างยุคตันตระนี้ ได้มีวรรณกรรมที่กล่าวถึงลัทธิอันยิ่งใหญ่ในอินเดียสองลัทธิ และถูกแปลในทิเบตประกอบด้วย ๓ เล่ม อิทธิพลของมนตราในยุคตันตระได้ถูกสร้างขึ้นอย่างสำคัญยิ่งในอินเดีย อารยธรรมตะวันตกก็ไม่สามารถขจัดความเชื่อในไสยศาสตร์ได้<br />
<br />
อย่างไรก็ตามผู้วิเศษในเวลานั้น ก็ไม่สามารถใช้อำนาจของมนตราซึ่งในอดีตมีผู้คนนับถืออย่างมาก แต่อย่างน้อยก็ได้สร้างสร้างชื่อเสียงให้แก่นิกายตันตระ และเพราะชาวอินเดียจำนวนมากเชื่อในไสยศาสตร์ พวกฉวยโอกาสในนิกายตันตระ และพวกจรจัด จึงอาศัยความใจบุญของมหาชน พวกเขาแต่งกายแปลกและพูดและแสดงอาการที่ลึกลับ<br />
<br />
ความเชื่อในไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่เชื่อมั่นมากในจิตใจของคนอินเดีย พร้อมที่จะเชื่อในเรื่องเหลวไหลในทันที หากเกี่ยวข้องกับสาธุ วัด เทพเจ้า หรือเรื่องราวเกี่ยวกับมนตรา มากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน ยากที่จะกล่าวว่า คนมีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษาที่เชื่อในไสยศาสตร์มากกว่ากัน แต่ไม่มีใครค้านในข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้หญิงชาวบ้านเป็นชนชั้นที่เชื่อในไสยศาสตร์มากมนตรา<br />
<br />
ในฐานะที่แสดงออกมาในวรรณกรรมของตันตระในอินเดีย มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนกับวรรณกรรมในแห่งอื่น ๆ วรรณกรรมในนิกายตันตระเทียบเท่ากับวิทยาศาสตร์ได้เช่น ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เภสัชศาสตร์ การเล่นแร่แปรธาตุ เป็นต้น เป้ฯการผสมผสานในศาสนา ปรัชญา วิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ หลักศาสนาและมการะ ๕ การวินิจฉัยในคัมภีร์บางส่วนของฮินดู-ตันตระได้กระทำอย่างชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา<br />
<br />
แต่คัมภีร์ของพุทธ-ตันตระถูกเพิกเฉยและละทิ้งดังนั้น สาธนมาลาในนิกายตันตระจึงน่าสนใจ และพยายามที่จะทดสอบว่าอะไรคือจุดเด่นของคัมภีร์นี้ รวมถึงงานอื่น ๆ ที่มาจากนิกายเดียวกันในเงื่อนไขของประเทศอินเดียและชาวอินเดียยุคตันตระ
ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-88223924810255617312013-07-23T15:06:00.000+07:002013-07-23T15:09:04.507+07:00เตือนภัย! ทำบุญวันออกพรรษา ที่อีสานพิการหลายคนแล้ว<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-qR89LSe4zGM/Ue44UGadlLI/AAAAAAAAEow/ndq47L4gDOk/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2!+%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="150" src="http://1.bp.blogspot.com/-qR89LSe4zGM/Ue44UGadlLI/AAAAAAAAEow/ndq47L4gDOk/s320/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2!+%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B2.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">เตือนภัย! ทำบุญวันออกพรรษา ระวังประทัด</td></tr>
</tbody></table>
<b>วันออกพรรษา</b>ของทุกปีแถบภาคอีสานยังคงมีการจุดปะทัดกันอยู่ ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบได้ บ้างก็บอกว่าเป็นการขับไล่สิ่งชั่วร้าย บ้างก็บอกว่ารับอิทธิพลในการจุดปะทัดของจีนมา แต่เท่าที่รับรู้ด้วยตัวเองคือพอรู้เรื่องก็จุดปะทัดใน<b>วันออกพรรษา</b>เหมือนกัน จุดโคม ซึ่งตอนเด็กๆก็ไม่คิดอะไรก็ซนตามประสาเด็กเล่นไปเรื่อย<br />
<br />
บ้างก็เล่นพิเรนท์<b>วันออกพรรษา</b>ทั้งทีแ้ทนที่จะทำบุญก็ทำบาปแทนอย่างว่าเด็กก็เล่นไปเรื่อย เช่นเอาปะทัดยัดเข้าปากคางคกแล้วจุด ไม่ต้องนึกภาพเลยว่าผลจะออกมาเป็นยังไง มีแต่เละกับเละเพราะประทัดทุกวันนี้ของบอกเลยว่าแรงจริง จุดทีได้ยินเสียงข้ามหมู่บ้านกันเลยทีเดียว<br />
<br />
เล่นเสียเพลินไม่เจอกับตัวไม่สำนึกงั้นมาติดตามข่าวกันเลย ยังไม่ถึงวันออกพรรษา เยาวชนในอุดรฯนิ้วมือขาดแล้ว 2 ราย แพทย์ย้ำผู้ปกครองต้องดูแลให้คำแนะนำเด็กใกล้ชิด ไม่ให้เล่นประทัดชนิดรุนแรง หวั่นหากไม่รณรงค์ความปลอดภัย ถึงเทศกาล<b>ทำบุญวันออกพรรษา</b>จริงๆจะพิการอีกหลายคน<br />
<br />
<a name='more'></a><br /><br />
นายแพทย์ สมศักดิ์ เปิดเผยว่า แม้จะมีการประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือไปยังจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ยังมีการจำหน่ายและนำประทัดออกมาเล่นกัน ซึ่งหากปล่อยไว้เช่นนี้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ช่วยกันดูแลเอาใจใส่ ก่อนจะถึง<b>วันออกพรรษา</b>จะมีเยาวชนลูกหลานชาวอุดรธานีจะสูญเสีย จากการถูกประทัดระเบิดใส่จำนวนมาก
จากการสอบถามผู้เล่นประทัด<br />
<br />
ทราบว่า ประทัดสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าทั่วไป โดยเฉพาะช่วง<b>เทศกาลงานออกพรรษา</b> จะเล่นกันมาก ผู้ปกครองไม่สามารถห้ามปรามได้ เพราะมีการเล่นมากในกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน เด็กบางรายไปซื้อประทัดชนิดสามเหลี่ยม ฟุตบอลแล้วมาแกะเอาดินปืนออก นำไปประกอบใหม่ใส่ท่อพีวีซีผสมด้วยเศษแก้วแตก และหิน จัดทำให้มีอนุภาพในการระเบิดที่รุนแรงและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นบางรายระเบิดใส่ถึงขั้นจะเสียชีวิต<br />
<br />
จากสถิติจำนวนผู้บาดเจ็บจากการเล่นประทัดใน<b>งานเทศกาลออกพรรษา</b> กลุ่มงานศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ ได้รวบรวมสถิติไว้ตั้งแต่ปี 2550 มีจำนวนผู้บาดเจ็บทั้งหมด 34 ราย ในปี 2551 มีจำนวน 51 ราย ในปี 2552 มีจำนวน 41 ราย หลังจากรับการรักษาแล้วมีจำนวนผู้พิการทั้งหมด 25 คน ทุพพลภาพ 16 คน
<br />
<br />
จะเห็นว่ามันอันตรายอย่างมาก มีลูกบอกลูก มีหลานบอกหลาน <b>เทศกาลวันออกพรรษา</b>ทั้งทีทำบุญโดยสงบก็ดีเหมือนกันหรือใครอยากเล่นก็เปิดเป็นโซนให้เล่นไปเลย จะว่าไปแล้วก็เหมืนมาเงินมาเผาเล่นเปล่าๆสงสัยจะรวยจัดเอาเงินมาเผาทิ้ง เงินยิ่งหายากอยู่นะครับ<br />
<b><br /></b>
ยังไงก็ระวังลูกหลงด้วยนะครับ สำหรับการไปทำบุญออกพรรษาในที่ๆมีการจุดประทัด ยังมีเรื่องราวเกียวกับ อันตรายในวันออกพรรษาอีกหลายเรื่อง ซึ่งผมจะนำมาให้พี่น้องได้อ่าน สุดท้ายก็ขอให้ท่าน<b>ทำบุญวันออกพรรษา</b>กันให้สนุกและมีความสุขกันนะครับ........สาธุ<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-68615431730048183172013-07-17T11:13:00.000+07:002013-07-23T15:26:37.848+07:00วันเข้าพรรษา ที่มาของการที่ภิกษุต้องจำพรรษา<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-rhdlJ2ilJCk/UeYYkHt4YUI/AAAAAAAAEkw/OBlDLovQztA/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B2...jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="269" src="http://1.bp.blogspot.com/-rhdlJ2ilJCk/UeYYkHt4YUI/AAAAAAAAEkw/OBlDLovQztA/s320/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B2...jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><i>พุทธศาสนิกชนทำบุญวันเข้าพรรษา</i></td></tr>
</tbody></table>
หลายตำราและหลายบทความ<b><a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2013/07/blog-post_16.html" target="_blank">วันเข้าพรรษา</a></b>ที่กล่าวถึงที่มาของการที่ภิกษุต้องจำพรรษาเหตุผลก็คงต้องเป็นตรรกะง่ายๆที่มองเห็นภาพคือภิกษุเที่ยวจาริกไปโน่นนั่นนี่ซึ่งเป็นฤดูฝนมันลำบากมากการที่จะเคลื่นที่ไปไหนนั้นต้องเดินอย่างเดียวเพราะมีบัญญัติห้ามพระวิ่งเพราะดูไม่สำรวม<br />
<br />
<span style="color: red;">มื่อ<b>สมัยพุทธกาล</b>พระไม่มีเจ็ทส่วนตัวไม่มีรถเบนซ์เหมือนเช่นทุกวันนี้ การเดินทางก็ยากลำบากฝนก็ตกเปียกปอน การเดินทางก็ลัดทุ่งลัดท่าเหยียบข้าวกล้าพืชผลชาวนาบ้าง เหยียบสัตว์เล็กสัตว์น้อยล้มตายบ้าง เลยเป็นที่มาของกฎการ<b>จำพรรษา</b></span><br />
<br />
<b><u>วันเข้าพรรษา</u> </b> ตรงกับแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ <b>"เข้าพรรษา"</b> แปลว่า <b>"พักฝน" </b>หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำแม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยีบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอดเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน<br />
<br />
<a name='more'></a><br /><br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">ความหมายและความสำคัญ</span></u></b><br />
"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึงพระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรม คำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ ๓ เดือนในฤดูฝน<br />
<br />
คือเริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน ๘ สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม ๑ ค่ำเดือนแปดหลัง และจะ<b>ออกพรรษา</b>ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เว้น แต่มีกิจธุระจำเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน ๗ คืนเรียกว่า สัตตาหะ<br />
หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์ แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด ระหว่างเดินทางก่อนหยุด<b>เข้าพรรษา </b><br />
<br />
หาก<b>พระภิกษุสงฆ์</b>เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับ ความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิงพักเพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลายๆองค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า <b>"วิหาร"</b> แปลว่าที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้วพระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้งถึง<br />
<br />
หน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีกเพราะสะดวกดี บางทีเศรษฐีมีจิตศรัทธาเลื่อมใสใน<b>พระพุทธศาสนา</b><br />
ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พักเรียกว่า <b>"อาราม"</b> ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์<br />
<br />
โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียง<b>อัฏฐบริขาร</b>ได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำและมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมาชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษใน<b>เข้าพรรษา</b>นับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา<br />
<br />
บทความที่มาและความสำคัญของ<b>วันเข้าพรรษา</b>ชิ้นนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะประดับความรู้ของใครหลายๆคนที่ได้เข้ามาอ่าน ขอบคุณเนื้อหาบทความของบุญธรรม ศรสวัสดิ์ และคณะพระพุทธศาสนาสมบูรณ์แบบ<br />
<br />
<br />
<br />
<br />ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-38359631455201743332013-07-16T15:01:00.000+07:002013-07-23T15:14:39.195+07:00ทำบุญวันออกพรรษา ประเพณีไทยตักบาตรเทโว ฟังเทศน์มหาชาติ<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-DSkgSD48mQI/UeT9TXwGBcI/AAAAAAAAEhk/JU5JvPd76-4/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="224" src="http://1.bp.blogspot.com/-DSkgSD48mQI/UeT9TXwGBcI/AAAAAAAAEhk/JU5JvPd76-4/s320/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="font-size: xx-small; text-align: start;"><i><a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2013/07/blog-post.html" target="_blank">วันออกพรรษาไปทำบุญที่วัดนะโยม</a></i></span></td></tr>
</tbody></table>
ไกล้ถึง<b>วันออกพรรษา</b>แล้ว หลายๆคนคงคิดถึงบ้านเพราะเป็นวันหยุดที่หลายๆคนตั้งตารอคอย หลังจากที่ทำงานมาทั้งปีหรือว่าบางท่านทำๆหยุดๆหรือไม่หยุดเลยก็มี แต่เท่าที่จำได้ว่าเมื่อก่อนสนุกกับ<b><a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2013/07/blog-post.html" target="_blank">งานทำบุญวันออกพรรษา</a></b>มาก เพราะได้พบพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนสนิทมิตรสหายที่หยุดและร่วมทำบุญสร้างกิจกรรมร่วมกันทำบุญร่วมกัน ที่วัดก็มีงานมีพระเทศน์กันครึกครึ้นว่าแล้วก็อดคิดถึงบ้านไม่ได้<br />
<br />
แต่ทว่า<b>วันออกพรรษา</b>ปีนี้คงไม่เหมือนเดิมเพราะไม่ได้กลับบ้านอย่างแน่นอนคิดถึงพ่อแม่พี่น้อง คิดถึงเพื่อนสนิทมิตรสหายที่นานๆได้เจอกัน นี่ก็เป็นอีกปีแล้วที่ข้าพเจ้าไม่ได้กลับบ้าน<br />
<br />
พล่ามอยู่นานจนลืมเอาสาระมาฝากคุณผู้อ่านทั้งหลาย แก่นแท้ของเนื้อหาทั้งหมดอยู่ในไฟล์ดาวน์โหลดลองโหลดไปอ่านกันโลด ส่วนน้ำจิ้มที่เอามาให้อ่านบางส่วนในบล้อกนี้ก็แค่เนื้อหาบางส่วน<br />
<br />
<a name='more'></a><br /><br />
<b>วันออกพรรษา </b>คือ วันสุดท้ายในการจำพรรษาของ พระภิกษุสงฆ์หรือวันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษาของพระภิกษุ ตามวินัยบัญญัติ โดยพระวินัยบัญญัติให้พระภิกษุต้องอยู่ประจำที่หรืออยู่ในวัดแห่งเดียวตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ในช่วงฤดูฝน ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ (หรือขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ในกรณีเข้าพรรษาหลัง) ของทุกปี<br />
<br />
<b>ประวัติความเป็นมาของวันออกพรรษา</b><br />
<br />
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาอยู่ ณ พระเชตวัน มหาวิหารกรุงสาวัตถีนั้น มีพระภิกษุกลุ่มหนึ่งแยกย้ายกันจำพรรษา อยู่ตามอารามรอบ ๆ นคร พระภิกษุเหล่านั้นเกรงจะเกิด การขัดแย้งทะเลาะวิวาทกันจนอยู่ไม่เป็นสุขตลอดพรรษา จึงได้ตั้งกติกาว่าจะไม่พูดจากัน (มูควัตร) เมื่อถึงวันออกพรรษา พระภิกษุเหล่านั้นก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหาวิหาร กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงทรงตำหนิว่าอยู่กันเหมือนฝูงปศุสัตว์ แล้วทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุกระทำการปวารณาต่อกันว่า<br />
<br />
<b>“อนุชานามิ ภิกขะเว วัสสัง วุตถานัง ภิกขูนัง ตีหิ ฐาเนหิ</b><br />
<b>ปะวาเรตุง ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา...”</b><br />
<b>แปลว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้วปวารณากัน</b><br />
<b>ในสามลักษณะ คือด้วยการเห็นก็ดี ด้วยการได้ยินก็ดี ด้วยการสงสัยก็ดี”</b><br />
<br />
<b>ความสำคัญของวันออกพรรษา</b><br />
๑. พระสงฆ์ได้รับพระบรมพุทธานุญาตให้จาริกไปค้างแรมที่อื่นได้<br />
๒. เมื่อออกพรรษาแล้วพระสงฆ์จะได้นำความรู้จากหลักธรรมและประสบการณ์ที่ได้รับ<br />
ระหว่างพรรษาไปเผยแพร่แก่ประชาชน<br />
๓. ในวันออกพรรษา พระสงฆ์ได้ทำปวารณา เปิดโอกาสให้เพื่อนภิกษุว่ากล่าวตักเตือน<br />
เรื่องความประพฤติของตนเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ ความเคารพนับถือ และความสามัคคีกันระหว่าง<br />
สมาชิกของสงฆ์<br />
๔. พุทธศาสนิกชนได้นำแบบอย่างไปทำปวารณาเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนตนเอง<br />
เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาตนและสร้างสรรค์สังคมต่อไป<br />
<br />
<br />
<b>ที่มาของประวัติความเป็นมาของวันออกพรรษาจากกรมศาสนา ท่านใดสนใจดาวน์โหลดบทความฉบับได้ที่นี่ <a href="https://docs.google.com/file/d/0B_p4KTH4Nv2bSm10Szd4aE5iU3M/edit?usp=sharing" target="_blank">คลิ้กที่นี่!</a> </b>ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-72339251247989891852013-06-03T10:57:00.002+07:002013-06-03T10:58:54.477+07:00ประเพณีไทยและลักษณะของประติมากรรมของพระลักษมี เทพีแห่งความมั่งคั่งโดยทั่วไปมักจะอธิบายลักษณะของ <b>“พระลักษมี”</b> ไว้คือ เป็นสตรีที่มีความงาม มี ๔ กร ประทับบนดอกบัว แต่งกายและตกแต่งด้วยเครื่องประดับมีค่า พระนางมีใบหน้าที่อ่อนโยน เยาว์วัยและมีลักษณะของความเป็นแม่
ภาพพระลักษมี ๒ กร ประทับยืนบนดอกบัว
ลักษณะเด่นของภาพประติมากรรมของพระลักษมีคือ ปรากฏร่วมกับดอกบัวเสมอ<br />
<br />
ความหมายของดอกบัวนั้นสัมพันธ์กับคำว่า <b>ศรี-ลักษมี </b>หมายถึง ความบริสุทธิ์และพละกำลัง รากของดอกบัวแม้จะจมอยู่ในโคลนตม แต่สามารถขึ้นมาบานเหนือน้ำได้ โดยโคลนไม่สามารถให้มีรอยมลทินได้ ดอกบัวแสดงถึงจิตใจที่ดีงามและพลังอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้น ปัทมาสนะเป็นลักษณะทั่วไปของภาพประติมานวิทยาในศาสนาฮินดู
การปรากฏตัวของพระลักษมีบนดอกบัว แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ พลังแห่งการเจริญเติบโต <br />
<br />
พระนางไม่ได้เป็นเพียงแค่อำนาจแห่งความจงรักภักดีเท่านั้น แต่เป็นอำนาจแห่งจิตวิญญาณ และเชื่อมโยงระหว่างความจงรักภักดีและอำนาจของธรรมะ ในภาพที่พระนางปรากฏออกมา การปรากฏร่วมกับดอกบัวจึงแสดงถึงการเจริญเติบโตของชีวิต
ลักษณะที่เป็นที่น่าสังเกตของ<b>พระลักษมี</b>คือ การปรากฏร่วมกับดอกบัว ซึ่งหมายถึง “น้ำ”นั้น ปรากฏออกมาใน ๓ แนวทางดังนี้<br />
<br />
<b> ๑) Padma-hasta </b>คือพระนางถือดอกบัวในกรขวา <br />
<br />
<b>๒)</b> <b>พระนางประทับนั่งบนดอกบัวบานขนาดใหญ่</b>ในฐานะที่เป็นบัลลังค์ (Pitha)<br />
<br />
<b>๓)</b> <b>Padma-vasini หรือ Padmalaya</b> คือพระนางแวดล้อมด้วยก้านดอกบัวและใบที่เจริญเติบโต และพระนางถือดอกบัวในพระหัตถ์ด้วย<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-LWzRkYnE5T8/UawTZrH8-aI/AAAAAAAAD5M/-bg2TZJ9ILQ/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%B5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-LWzRkYnE5T8/UawTZrH8-aI/AAAAAAAAD5M/-bg2TZJ9ILQ/s320/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%B5.jpg" width="160" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><br />
<b><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt;">ภาพพระลักษมี ๒
กร ประทับยืนบนดอกบัว</span></b></td></tr>
</tbody></table>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<br />
นอกจากนั้น <b>พระลักษมี</b>ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์โดยรูปแบบของ<b>เทพีแห่งความมั่งคั่ง</b>และอุดมสมบูรณ์ นิยม ๒ รูปแบบ คือ<br />
<br />
<b>๑) รูปสตรีกับดอกบัว </b>ทำเป็นสตรียืนหรือนั่ง และมีดอกบัวเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยให้ดอกบัวเป็นองค์ประกอบสำคัญ และมีความสัมพันธ์กับสตรีในภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถือดอกบัว นั่งหรือยืนบนดอกบัว หรือแวดล้อมด้วยกอบัว ซึ่งประกอบด้วยดอกและใบ ในรูปที่มีองค์ประกอบแบบนี้มีชื่อว่า ศรี-ลักษมี , ศรี แปลว่า ผู้หญิง และ ลักษมี แปลว่า โชคลาภ ความเจริญ ความงาม แปลรวมว่า เทพีแห่งโชคลาภและความเจริญ<br />
<br />
ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Category:Hindu_goddesses วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๙
Bhagwant Sahai. Iconography of Minor Hindu and Buddhist deities. (Delhi : Vishal Printers), 1975, p.164.
ผาสุข อินทราวุธ. ตราดินเผารูปคช-ลักษมีและกุเวร จากเมืองนครปฐมโบราณ. นิตยสารเมืองโบราณ ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓ สิงหาคม-พฤศจิกายน ๒๕๒๖. (กรุงเทพฯ : อักษรสัมพันธ์), ๒๕๒๖, หน้า ๙๔-๙๕.
ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-43806719321411926302013-04-29T21:07:00.000+07:002013-04-29T21:07:28.180+07:00เขียดขาคำกับวิถีชีวิตคนเฉียงเหนือ โดย นักสู้ธุลีดิน<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-WJ4yMpcfx70/UXzo1AYBtXI/AAAAAAAACic/msoAoxVUTUE/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-WJ4yMpcfx70/UXzo1AYBtXI/AAAAAAAACic/msoAoxVUTUE/s1600/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B3.jpg" height="320" width="271" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b>เขียดขาคำ</b></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
เรื่องสั้นวิถีชีวิต ของคนอีสาน ดินแดนที่เหมือนโดนสาปให้ต้องแร้นแค้น อาชีพหลักส่วนมากก็ยึดถืออาชีพคือทำนาตามบรรพบุรุษ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการหลายโครงการเช่นรับจำนำข้าว ,บัตรเครดิตเกษตร โครงการที่ต่างๆที่แสนสวยหรู ชาวบ้านจนลง นักการเมืองรวยขึ้น...โอ้ชีวิตชาวนากำเหนิดเกิดมาพอลืมตาก็ยากจน....<br />
<br />
ตอนเช้าที่อากาศอันสดใส ของเช้าวันหนึ่งตามวิถีชีวิตชาวชนบทบ้านนาของภาคตะวันออก(เฉียงเหนือ) ที่พบเห็นได้ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นการตักบาตรพระสงฆ์ในตอนเช้าชาวบ้านพูดคุยกันด้วยความเป็นกันเอง แบ่งปันข้าวปลาอาหารโดยไม่มีเรื่องเงินทองเข้ามายุ่งเกียวหรือแม้กระทั้งความสามัคคีในชุมนุนช่วยงานตามบ้านต่างๆโดยไม่มีเรื่องสินจ้างใดๆ แต่กับเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยดีและหายากยิ่งในยุคสมัยนี้ แต่ว่าตอนนี้กลับมีเสียงเพลงดังมาจากบ้านหลังหนึ่งเป็นเสียงร้องของ*ฮ้ายทิดดี กำลังเก็บฟืนไว้ใต้ถุนบ้านซึ่งเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้พร้อมภรรยาและลูกน้อยอีกหนึ่งคน<br />
<br />
เอาเป็นว่าวันนี้จะนำเสนอชีวิตของฮ้ายทิดดีแล้วกันเด้อ...................<br />
<br />
"อารมณ์ดีแท้น้อฮ้ายทิดดี "เสียงของผู้เป็นภรรยาพูดขึ้น "เฮ้อ!เฮ้อ!ฮ่ามันเป็น*หวางใจ เกี่ยวข้าว ฟาดข้าว เอาเข้ามาเล้า ตัดฟืนแล้วมันกะ*หวางหัวใจ จนอยาก *ฮ้องเพลงให้มันชื่นใจนั้นแล้ว แล้วข้อยฮ้องม่วนบ่" อ้ายทิดดีถามผู้เป็นภรรยา"โอ๊ยข้อยสิฮาก!!!" ผู้เป็นภรรยาตอบพร้อมสีหน้าไม่สู้ดี ทำเอาฮ้ายทิดเราถึงกลับซีดๆไปนิ๊ดแล้วพูดว่า "ฮื้อ!ขี้เดียดเสียงเพลงข้อยจนสิฮากเลยตี้" ผู้เป็นภรรยาตอบพร้อมทำท่าทางจะอ้วก ทำเอาฮ้ายทิดเราจากหน้าซีดเป็นหน้าลิงตื่น "หือ!แพ้ท้อง" พอพูดจบก้ตะดกนขึ้นด้วยเสียงดัง"เย้ฝีมือเหี้ยนสิมีน้องแล้ว จ่อยมา*พี้เร็ว" ทำเอาผู้เป็นภรรยาหน้าแดงกระซิบผู้เป็นสามีเบาๆว่า "จุ๊ยๆๆค่อยๆแน้อายคน " ฮ้ายทิดทำหน้าทะเล้นใส่ภรรยา "อายเอ็ดหยัง...ข้อยสิได้ลูกล่ะแหม" ภรรยาหน้าแดงก่ำฮ้ายทิดก็ไม่รีรอให้ภรรยาพูดอะไรมาก เขาได้เอ่ยถามกับภรรยาเขา"เอ๊อ...อยากกินอีหยังล่ะ*แม่มาร"<br />
<br />
ภรรยาพูดขึ้นว่า "บ่ฮู้!...เป็นหยังอยากกินหมก <b>*เขียดขาคำ</b> บ่ได้กินคือสิตาย*คักๆๆมันเป็นวินๆ หวิ่งๆ งึกๆ งักๆ อยากกินอีหลีฮ้ายทิด" ภรรยาพูดเสร็จพร้อมกับการอาเจียนเต็มๆ เสื้อของฮ้ายทิดทำเอาฮ้ายทอดต้องถอยจ๊ากไป 2 ก้าวฮ้ายทิดมองดูเสื้อตัวเก่งที่เลอะไปด้วยอ้วกของภรรยา แต่ไม่ได้สนใจอะไรแต่กลับดีใจมากยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าภรรยาตัวเองอยากกินอะไร ทิดดีของเรารีบไปเตรียมของที่จะไปหา*เขียดขาคำ ให้ภรรยาในตอนเย็นจนภรรยาต้องท้วงว่าเปลี่ยนเสื้อก่อนออกไปไม่งั้นคงเหม็นอ้วกแย่แน่<br />
<br />
จนกระทั้งตหค่ำ ฮ้ายทิดถือ*ขี้กะบองจุดไฟออกไปหา เขียดขาคำพร้อมกับลูกชายวัยใสนามว่าจ่อยนั้นเอง "*ย่างนำก้นพ่อมาเด้อจ่อย อย่าออกนอกทางอื่น เดี๋ยวสิหล่มปูขาหัก" ฮ้ายทิดได้บอกกับลูกชาย เมื่อหลังหน้านาเข้าสู่หน้าร้อน ต้นข้าวหลังเกี่ยวเริ่มล้ม เหี่ยวแห้ง...ท้องนาที่เคยชุ่มน้ำใกล้ต้นไม้ร่มครึ้ม มักจะมีเขียดขาคำอาศัยอยู่ เสียงลูกชายวัยซนร้องขึ้น พร้อมกระโจนไล่จับเขียดเป็นภาพที่น่ารักหาดูยากทีเดียว "อ๊า!อีพ่อ...เขียดขาคำ เต้นด๊องๆ เต็มเลย..นั้นๆเห็นบ่" เด็กน้อยไล่จับอย่างสนุกสนานผู้เป็นพ่อหัวเราะเบาๆ พร้อมบอกลูกชาย" *คุบ!ลูก*คุบ...คุบโลดลูกเร็วๆ" สองพ่อลูกช่วยกันไล่จับ จ่อยน้อยจับได้เต็มมือจึงเอาใส่ข่อง ในค่ำคืนแห่งนี้ใต้แสงจันทร์ดวงโต มองเห็นได้เต็มสองตาโดยไม่มีตึกราใหญ่โต ไม่มีเสียงรถยนต์ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ ในชนบทมีแต่เสียงของสายลมที่ลอยมา พร้อมเสียงของจั๊กจั่นตามต้นไม้ใหญ่ สองพ่อลูกยังคงสนุกกับการหาอาหารมื้อพิเศษให้ศรีภรรยาที่บ้าน และแม่ของหนูน้อยจ่อยนี่และชีวิตที่หากินง่ายอยู่ง่ายชีวิตพอเพียง<br />
<br />
ตอนนี้สองพ่อลุกได้<b><u>เขียดขาคำ</u></b> ได้มากพอควรก็กลับบ้านคนเป็นพ่อได้ชวนลูกกลับบ้าน "ป่ะจ่อย พวกเฮากับบ้านกันได้แล้วเนอะ ได้หลายแล้วล่ะพอที่จะให้แม่โตกินแล้วละ" ร้องบอกลูก"ครับอีพ่อ"เสียงหนูน้อยตอบผู้เป็นพ่อแล้วเดินตามผู้เป็นพ่อกลับบ้านไป<br />
<br />
"อ๊า! มาแล่ว...มากินเร้วแม่มาร......<b><u>หมกเขียดขาคำ</u></b>" ฮ้ายทิดยกกับข้าวพร้อมใบใหญ่ที่บานอย่างกะถาดข้าว ฝ่ายศรีภรรยาพอเห็นกับข้าวหมกเขียดขาคำแล้วถึงกับแสดงอาการขึ้น "อึ๊ยเหม็นคาว..สิฮาก..เอาออกไป๊!!ข้อยบ่กิน ข้อยสิอยากกินต้ม*น้องงัว.." เล่นเอาฮ้ายทิดเราเสียศูนย์ไปเสีย "เอ๊า!มีจั่งอีก" เล่นเอาฮ้ายทิดต้องออกออกอาหารอีกหลายๆชนิดมาให้แม่มานได้กิน อิอิอิ<br />
คงมาถึงท้ายสุดแต่ไม่สุดท้ายของวิถีชนบทบ้านนาเฮา แล้ววันต่อไปจะไปขุดคุ้ยบ้านอื่นนอกจากบ้านฮาทิดดี อีกเด้อ บ๊ายบาย......เมียแล้วเด้อ...<br />
<br />
<br />
ให้เสียงภาษาอีสานโดย นักสู้ธุลีดินส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-70508393389073909462013-04-28T16:18:00.001+07:002013-04-28T16:18:42.670+07:00เขียดขาคำ ที่มาของน้องขาคำ<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-WJ4yMpcfx70/UXzo1AYBtXI/AAAAAAAACic/msoAoxVUTUE/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-WJ4yMpcfx70/UXzo1AYBtXI/AAAAAAAACic/msoAoxVUTUE/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B3.jpg" height="320" width="271" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b>เขียดขาคำ</b></td></tr>
</tbody></table>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
เนื่องจากเกิดจากแผ่นดินที่แร้นแค้นเป็นคนอีสานบ้านนอก ชีวิตก็เลยไม่หรูหราเหมือนคนกรุงหรือเมืองใหญ่ๆ เด็กบ้านนอก(อีสาน) จะใช้ชีวิตแบบลูกทุ่งยิงนกตกปลา ยิ่งเข้าสู่หน้าแล้ง เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ร้อนแล้งจนแผ่นดินแตกระแหง ถ้ามองแบบที่ไม่สร้างสรรค์ นั่นล่ะแสดงว่าสุดยอดของความแร้นแค้นแล้วล่ะ แต่สำหรับคนอีสานไม่ยอมแพ้ถึงแม้ว่าจะต้องตำน้ำกินก็ตาม<br />
<br />
ดินที่แตกระแหงนี่แหละคือแหล่งที่มาของอาหาร งัดก้อนดินที่แตกระแหงขึ้นก็จะเจออาหาร เช่นปลาไหล กบ เขียด เป็นต้น แต่มีเขียดอยู่ชนิดหนึ่งที่ผมประทับใจในการกระโดดของมันมาก มันมีชื่อว่า<b><u>เขียดขาคำ </u></b>หรือ<b><u>เขียดบักแอ้ะ</u></b> เขียดตัวเล็กๆชนิดนี้สามารถกระโดดได้ไกลอย่างต่ำเป็นเมตร และส่วนสูงไม่ได้กะระยะมา เลยไม่สามารถอธิบายได้ อีกส่วนนึงที่ชอบก็คือใต้ท้องขาของเขียดชนิดนี้มีสีเหลืองทอง สวยงามสบายตา<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-wAWCTMd5TVc/UXzpKVQ5k1I/AAAAAAAACik/oazSp-o58wM/s1600/524751_4659329768101_1494921295_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-wAWCTMd5TVc/UXzpKVQ5k1I/AAAAAAAACik/oazSp-o58wM/s1600/524751_4659329768101_1494921295_n.jpg" height="238" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b>น้องเขียดขาคำ</b></td></tr>
</tbody></table>
<br />
สังคมของคนทุกวันนี้มีแต่การแข่งขันการสปีดตัวการการกระโดดสู่ความสำเร็จ การไปสู่เป้าหมายได้ไม่ใช่ง่าย ผมเลยตั้งชื่อลูกสาวว่า<b style="text-decoration: underline;">น้องเขียดขาคำ</b> มีความหมายตามที่มาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เหตุผลที่สำคัญก็คือเค้าเกิดวันที่ 28 เดือนเมษายน 2556 เวลา 09.11น. น้ำหนัก 2.7 กก. เดือนนี้ร้อนมาก ฯลฯ บลาๆ....ติดตามตอนต่อไป<br />
<b><u><br /></u></b>ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-64769394835232166162013-04-26T07:43:00.000+07:002013-04-26T07:43:38.831+07:00ลักษณะทางประติมาณวิทยาของ “ลักษมี : คชลักษมี”<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="color: #993366;">คัมภีร์ต่าง ๆ ที่กล่าวถึงลักษณะของ </span><span style="color: #993366;">“<span lang="TH">ลักษมี </span>: <span lang="TH">คชลักษมี</span>”<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="color: #993366;"> </span><span style="color: #993366;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH">ในวรรณกรรมยุคมหากาพย์นั้น
มหาภารตะกล่าวว่าพระลักษมีถือกำเนิดมาจากการกวนเกษียรสมุทร
ในมหากาพย์ยุคหลังบางฉบับให้พระลักษมีเป็นชายาของท้าวกุเวรในวรรณกรรมของศาสนาฮินดูในยุคกลาง ศรี หรือลักษมี เป็นเทพีแห่งโชคลาภผู้ถือดอกบัว
และเป็นชายาของหมู่กษัตริย์ การสรรเสริญความงามของชายาของหมู่กษัตริย์
มักนำไปเปรียบเทียบกับความงามของพระลักษมี วรรณกรรมในยุคปุราณะได้ยกย่องพระลักษมี
ให้เป็นชายาของพระวิษณุ</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH">วรรณกรรมในศาสนาพุทธและศาสนาเชนกล่าวถึงพระลักษมีด้วยเช่นกันในมิลินทปัญหาและธรรมบทอรรถกถา กล่าวถึงเทพีลักษมี
ว่าเป็นเทพีผู้ประทานโชคลาภแก่ราชอาณาจักร
ซึ่งกษัตริย์อินเดียในสมัยคุปตะจะนับถือพระลักษมีในฐานะเทพีผู้ประทานโชคลาภแก่อาณาจักร
ส่วนในศาสนาเชนกล่าวถึงลักษมีว่า เป็น ๑ ใน ๑๔ มหามงคล
อันเป็นนิมิตที่เกี่ยวข้องกับการประสูติของมหาวีระ</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH"></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ใน<b> </b></span><span style="color: blue;"><b>Abhilasitarthachintamani </b></span><span lang="TH">อธิบายว่าพระนางมีกายสีขาว
ประทับนั่งบนดอกบัว ถือ </span>Sri phala (wood apple) <span lang="TH">ทับทิม </span>?
<span lang="TH">ในกรขวา
ส่วนกรซ้ายถือดอกบัว ขนาบข้างด้วยช้าง ๒ เชือก</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ใน </span><span style="color: blue;">Nayasamgraha </span><span lang="TH">อธิบายว่านางน่าจะถือดอกบัวในพระหัตถ์
สวมพวงมาลัยดอกบัว และมีช้างสรงน้ำให้พระนาง</span><o:p></o:p></div>
<br />
<div>
<!--[if !supportFootnotes]--><br clear="all" />
<u><br />
<!--[endif]-->
</u><br />
<div id="ftn1">
<div class="MsoFootnoteText" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<a href="file:///C:/Users/home/Desktop/Paper%20Gaja%20Lakshmi.doc#_ftnref1" name="_ftn1" title=""></a><span lang="TH">ที่มา:</span><span lang="TH" style="font-size: 11.5pt;">ผาสุข อินทราวุธ. <b>ตราดินเผารูปคช-ลักษมีและกุเวร
จากเมืองนครปฐมโบราณ.</b> นิตยสารเมืองโบราณ ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓ สิงหาคม-พฤศจิกายน
๒๕๒๖. (กรุงเทพฯ</span><span style="font-size: 11.5pt;"> : <span lang="TH">อักษรสัมพันธ์),
๒๕๒๖, หน้า ๙๔.</span></span><span lang="TH" style="font-size: 11.5pt; mso-ansi-font-size: 10.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoFootnoteText" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span style="font-size: 11.5pt;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoFootnoteText" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
</div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH">ใน </span><span style="color: blue;">Matsya Purana</span> <span lang="TH">กล่าวถึงคชลักษมี
ได้รับการสรงน้ำโดยช้าง ๒ เชือก พระนางน่าจะถือ </span>Sri phala (wood apple)<span lang="TH"> ทับทิม </span>? <span lang="TH">และดอกบัวในพระหัตถ์ พระนางมีกายสีทองและประทับนั่งบนดอกบัว</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH"> ใน </span><span style="color: blue;">Devi-Mahatmya of the Markandeya Purana</span> <span lang="TH">กล่าวถึงพัฒนาการของนางที่มี
๑๘ กร และมีอาวุธที่หลากหลาย[<span style="font-family: Cordia New, sans-serif;"><span style="font-size: 21px;">1]</span></span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH"> ใน </span><span style="color: blue;">Brahmanical Icons in Northern India<span style="font-family: Cordia New, sans-serif;"><span style="font-size: 21px;"> [2]</span></span></span><span lang="TH">กล่าวว่า จากคัมภีร์ <span style="color: #3366ff;">วิษณุธรรโมตรา</span>
พระลักษมี มักจะปรากฏร่วมกับหริ (วิษณุ) สวมเครื่องแต่งกายสวยงาม กายสีดำ<span style="color: #0b5394; font-family: Cordia New, sans-serif;"><span style="font-size: 21px;">[3]</span></span> มักจะมี
๒ กร ถือดอกบัว หากปรากฏกายเดี่ยว นางจะมี ๔ กร ประทับบนปัทมาสนะ
นางจะถือก้านดอกบัวในกรขวา ส่วนกรซ้ายจะถือ หม้ออมฤต ที่เหลือถือ สังข์ และ
ผลทับทิม ด้านหลังพระนางจะปรากฏช้าง ๒ เชือกถือหม้อสรงน้ำ หรือ
พระนางจะประทับยืนบนดอกบัว ๒ กรถือ สังข์และดอกบัว และมีวิทยาธรเหาะเหนือศีรษะนาง ใกล้ ๆ กับนาง ราชศรี , สวารคะ ลักษมี พราหมี
ลักษมี และ ชายา ลักษมี ก็ปรากฏร่วมด้วย</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH"> ใน <span style="color: blue;">อัมศุมัฑเภทาคมะ</span> กล่าวว่านางมีกายสีเหลืองทอง
นางจะสวมเครื่องประดับที่ทำด้วยทองประดับทับทิมและหินมีค่า นางสวม </span>Nakra<span lang="TH"> กุณฑล ลักษณะของนางคล้ายกับสาวพรมจรรย์ อ่อนวัย สวยงาม คิ้วสวย
ดวงตาราวกับกลีบบัว คออิ่ม สะโพกผาย
นางมักจะสวมเสื้อและศีรษะจะประดับด้วยเครื่องประดับนานาชนิด มือขวานางจะถือดอกบัว และมือซ้ายถือผลทับทิม
นางมักจะแต่งกายอย่างประณีต สวมสายคาดเอวที่แสดงถึงฝีมือทางศิลปะ<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH"> ใน </span><span style="color: blue;">Elements of Hindu Iconography. Vol.I Part II<span style="font-family: Cordia New, sans-serif;"><span style="font-size: 21px;">[4]</span></span></span><span lang="TH">ได้กล่าวถึงพระลักษมี ในฐานะที่เป็นชายาของพระวิษณุ
และกำเนิดมาจากการกวนเกษียรสมุทร มีพระนามหลายชื่อ เช่น ศรี ปัทมะ หรือ กมลา
พระนางจะประทับนั่งบนดอกบัว สองกรถือดอกบัว สวมพวงมาลัยทำด้วยดอกบัว
ขนาบข้างด้วยช้างที่สรงน้ำลงบนศีรษะ โดยมีนางฟ้า ๒ ตนยืนถือหม้อ</span> <o:p></o:p></div>
<div>
<!--[if !supportFootnotes]--><br clear="all" />
<br />
<!--[endif]-->
<br />
<div id="ftn1">
<div class="MsoFootnoteText">
<a href="file:///C:/Users/home/Desktop/Paper%20Gaja%20Lakshmi.doc#_ftnref1" name="_ftn1" title=""></a> <span class="MsoFootnoteReference"><span style="font-size: 16.0pt;"><!--[if !supportFootnotes]--><span class="MsoFootnoteReference"><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: "Times New Roman"; mso-fareast-language: EN-US;">[1]</span></span><!--[endif]--></span></span> <span style="font-size: 11.5pt;">Bhagwant Sahai. <b>Iconography of Minor Hindu and
Buddhist deities.</b> <span lang="TH">(</span>Delhi
: Vishal Printers<span lang="TH">)</span>, 1975, p.164.</span><span lang="TH" style="font-size: 11.5pt; mso-ansi-font-size: 10.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
</div>
<div id="ftn2">
<div class="MsoNormal">
<a href="file:///C:/Users/home/Desktop/Paper%20Gaja%20Lakshmi.doc#_ftnref2" name="_ftn2" title=""></a> <span class="MsoFootnoteReference"><!--[if !supportFootnotes]--><span class="MsoFootnoteReference"><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: "Times New Roman"; mso-fareast-language: EN-US;">[2]</span></span><!--[endif]--></span> <span style="font-size: 11.5pt;">Sheo Bahadur Singh. <b>Brahmanical Icons in <st1:place w:st="on">Northern India</st1:place><span lang="TH">.</span></b><u><span lang="TH">
</span></u><span lang="TH">(</span>New Delhi : Sagar Publications<span lang="TH">),
</span>1977, p.171 -172.</span><o:p></o:p></div>
</div>
<div id="ftn3">
<div class="MsoFootnoteText">
<a href="file:///C:/Users/home/Desktop/Paper%20Gaja%20Lakshmi.doc#_ftnref3" name="_ftn3" title=""></a> <span class="MsoFootnoteReference"><span style="font-size: 16.0pt;"><!--[if !supportFootnotes]--><span class="MsoFootnoteReference"><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: "Times New Roman"; mso-fareast-language: EN-US;">[3]</span></span><!--[endif]--></span></span> <span style="font-size: 11.5pt;">T. A. Gopinatha Rao, M. A. <b>Elements of Hindu
Iconography. Vol. I Part II</b> <span lang="TH">(</span><st1:place w:st="on"><st1:country-region w:st="on">India</st1:country-region></st1:place> : Motilal Banarsidass
Indological Publishers<span lang="TH">), </span>1968 , p.373.</span><span lang="TH" style="font-size: 11.5pt; mso-ansi-font-size: 10.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
</div>
<div id="ftn4">
<div class="MsoFootnoteText">
<a href="file:///C:/Users/home/Desktop/Paper%20Gaja%20Lakshmi.doc#_ftnref4" name="_ftn4" title=""></a> <span class="MsoFootnoteReference"><span style="font-size: 16.0pt;"><!--[if !supportFootnotes]--><span class="MsoFootnoteReference"><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: "Times New Roman"; mso-fareast-language: EN-US;">[4]</span></span><!--[endif]--></span></span> <span style="font-size: 11.5pt;">T. A. Gopinatha Rao, M. A. <b>Elements of Hindu
Iconography. Vol. I Part II</b> <span lang="TH">(</span><st1:place w:st="on"><st1:country-region w:st="on">India</st1:country-region></st1:place> : Motilal Banarsidass
Indological Publishers<span lang="TH">), </span>1968 , p.373-375.</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoFootnoteText">
<span style="font-size: 11.5pt;"><br /></span></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-lYDlWHoL72E/UXnLPbGf4AI/AAAAAAAACgo/oXwyeFQeVVo/s1600/sridevi.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/-lYDlWHoL72E/UXnLPbGf4AI/AAAAAAAACgo/oXwyeFQeVVo/s320/sridevi.jpg" width="212" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><div align="center" class="MsoNormal">
<b><span style="font-size: 14.0pt;">Sri Devi : Ellora<o:p></o:p></span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal">
<b><span style="font-size: 14.0pt;"><br /></span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<o:p></o:p></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<div class="MsoFootnoteText">
<span style="font-size: 11.5pt;"><br /></span></div>
</div>
</div>
ใน ศิลปรัตนะ กล่าวว่านางมีกายสีขาว และกล่าวยิ่งไปกว่านั้นว่า นางถือดอกบัวในมือซ้ายและมือขวาถือผลทับทิม นางสวมสร้อยมุกและขนาบข้างโดยสองสาวพรหมจรรย์ผู้ซึ่งสบัดพัดขนจามรีใกล้ ๆ นางมักถูกรดน้ำจากหม้อสองใบ<br />
<br /> นางมักจะมี ๒ กร หากปรากฏกายพร้อมกับพระวิษณุ แต่หากนางปรากฏเป็นรูปเคารพเดี่ยว มักจะมี ๔ กร และประทับบนดอกบัวแปดกลีบบนหลังสิงโต (Simhasana) กรขวาข้างหนึ่งมักจะถือดอกบัวที่มีก้านยาว และอีกกรถือผลทับทิม กรซ้ายมักจะถือหม้อน้ำอมฤต และสังข์ ช้าง ๒ เชือกที่อยู่เบื้องหลังจะถือหม้อสรงน้ำลงบนศีรษะนาง นางจะประดับตกแต่งด้วยสร้อยแขนและกำไล<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-dbyeQn9CreQ/UXnMzfPXGKI/AAAAAAAACg0/CRE1Gx4DiHI/s1600/sri.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://2.bp.blogspot.com/-dbyeQn9CreQ/UXnMzfPXGKI/AAAAAAAACg0/CRE1Gx4DiHI/s320/sri.jpg" width="240" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: "Times New Roman"; mso-fareast-language: EN-US;">Sri Devi : Ivory : Trivandram</span></b></td></tr>
</tbody></table>
<br /><div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH">ใน <span style="color: blue;">วิศวกรรมศาสตรา
</span>อธิบายถึงลักษณะของนาง
โดยปรากฏที่วิหาร ใน </span><span style="color: #3366ff;">Kolhapura</span> <span lang="TH">ว่านางปรากฏในรูปของเด็กสาวสวมเครื่องประดับตกแต่งมากมายและมีรูปโฉมที่สวยงาม
กรขวาล่างถือหม้อน้ำ กรขวาบนถือคทา ชื่อ เคาโมฑากี กรซ้ายล่างถือผลทับทิม และกรซ้ายบนถือโล่ห์
บนศีรษะนางมีลิงคะปรากฏอยู่ นางได้รับการบูชาในความปรารถนาเกี่ยวกับความร่ำรวย<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH"></span></div>
<div class="MsoFootnoteText">
<span style="font-family: Cordia New, sans-serif;"><span style="font-size: 21px;">ที่มา:</span></span><span style="font-size: 11.5pt;">T.A.Gopinatha Rao,M.A. <b>Elements of Hindu
Iconography. Vol.I Part II</b> <span lang="TH"> (</span><st1:place w:st="on"><st1:country-region w:st="on">India</st1:country-region></st1:place> : Motilal Banarsidass
Indological Publishers<span lang="TH">), </span>1968 , pl.CXI.</span><o:p></o:p></div>
<div class="MsoFootnoteText">
<span style="font-size: 11.5pt;"><br /></span></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-EhpJ294LEqk/UXnNWgpJGUI/AAAAAAAAChA/6KSW74n38wc/s1600/kura.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://4.bp.blogspot.com/-EhpJ294LEqk/UXnNWgpJGUI/AAAAAAAAChA/6KSW74n38wc/s320/kura.jpg" width="240" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: "Times New Roman"; mso-fareast-language: EN-US;">Kollapura Maha Lakshmi Stone at <st1:place w:st="on"><st1:city w:st="on">Kolhapur<br /></st1:city></st1:place></span></b></td></tr>
</tbody></table>
<br /><div class="MsoFootnoteText">
<span style="font-size: 11.5pt;"><br /></span></div>
<br />
<br />
<br />
<br /></div>
</div>
ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-51795785000526544472013-02-27T14:43:00.002+07:002013-02-27T14:43:23.076+07:00คู่บารมีของวิษณุในอวตารต่าง ๆ <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-NDvi57wk-Vw/US24PV3WjWI/AAAAAAAABOo/lsojadrhAzk/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B8%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B9%86.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-NDvi57wk-Vw/US24PV3WjWI/AAAAAAAABOo/lsojadrhAzk/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B8%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B9%86.jpg" height="320" width="240" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><div align="center" class="MsoNormal">
<b><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt;">พระรามและนางสีดา ในพิธีสยุมพร<o:p></o:p></span></b></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
คู่บารมีของวิษณุในอวตารต่าง ๆ แสดงถึงความจงรักภักดี พระนางเป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์ เป็นชายาที่ดีพร้อม ทุก ๆ ครั้งที่พระวิษณุอวตารลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อปกปักรักษาโลกมนุษย์ พระนางจะจุติมาเกิดพร้อมด้วย พระนางจุติเป็นนางสีดา<br />
<br />
ในคราวที่พระวิษณุอวตารมาเป็นพระราม , พระนางจุติมาเป็นรุคมินี เมื่อพระวิษณุอวตารมาเป็นพระกฤษณะ และจุติเป็นปัทมะ เมื่อพระวิษณุอวตารมาเป็นวามะนะ บางทีนางสีดาน่าจะเป็นตัวอย่างของวีรสตรีผู้ที่อุทิศตนแด่พระสวามีมากที่สุด
ในวิษณุปุราณะ ได้กล่าวว่า <br /><br />เมื่อ “หริ” กำเนิดมาเป็นพราหมณ์เตี้ย บุตรชายของอทิติ พระลักษมีจึงกำเนิดจากดอกบัว เมื่อพระองค์อวตารเป็นราฆวะ พระนางกำเนิดเป็นสีตา เมื่อพระองค์อวตารเป็นกฤษณะ พระนางกำเนิดเป็นรุคมินี เมื่อพระวิษณุจุติลงมา พระนางจะกำเนิดร่วมด้วยเสมอ
<br />
<br />
<b>อ้างอิงที่มา:</b> <span style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;">David R. Kinsley. </span><b style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;">Hindu Goddesses : visions of the
divini feminine in the Hindu religious tradition</b><span style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;">.</span><span lang="TH" style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;"> (</span><span style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;">London
: University of California Press</span><span lang="TH" style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;">)</span><span style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;">, 1988, p.273-28.</span><span class="MsoFootnoteReference" style="text-align: justify;"><span style="font-size: 16.0pt;"><span class="MsoFootnoteReference"><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: "Times New Roman"; mso-fareast-language: EN-US;">[1]</span></span></span></span><span style="text-align: justify;"> </span><span style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;"><u>www.Indian_heritage.org/gods/lakshmi.html</u></span><span lang="TH" style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;"> เมื่อวันที่ ๑๖
สิงหาคม ๒๕๔๙</span><br />
<div class="MsoFootnoteText" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span class="MsoFootnoteReference"><span style="font-size: 16.0pt;"><span class="MsoFootnoteReference"><span style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 16.0pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: "Times New Roman"; mso-fareast-language: EN-US;">[1]</span></span><!--[endif]--></span></span> <span style="font-size: 11.5pt;">David R. Kinsley. <b>Hindu Goddesses : visions of the
divini feminine in the Hindu religious tradition</b>.<span lang="TH"> (</span>London
: University of California Press<span lang="TH">)</span>, 1988, p.28.</span><span lang="TH" style="font-size: 11.5pt; mso-ansi-font-size: 10.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-30831727539180404052013-01-31T08:35:00.001+07:002013-01-31T08:35:16.085+07:00กวนเกษียรสมุทร เรื่องราวในวรรณกรรมมหากาพย์<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-IIW12H1Y9V4/UQnJ4pWuPeI/AAAAAAAAAzU/VtqpvA6XsgM/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="226" src="http://3.bp.blogspot.com/-IIW12H1Y9V4/UQnJ4pWuPeI/AAAAAAAAAzU/VtqpvA6XsgM/s320/%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="font-size: small; text-align: start;"><b>กวนเกษียรสมุทร</b></span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<b>การกวนเกษียรสมุทร</b> เป็นเรื่องราวที่ปรากฏในวรรณกรรม<b>มหากาพย์</b>เรื่อง <b>มหาภารตะ </b>กล่าวถึงพระลักษมีว่า ถือกำเนิดมาจากการกวนเกษียรสมุทร และทั้งมหากาพย์มหาภารตะและรามายณะ<br />
<br />
กล่าวถึงความสัมพันธ์ของพระลักษมีกับท้าวกุเวร ในวรรณกรรมยุคมหากาพย์ฉบับหลังๆ จัดให้พระลักษมี เป็นชายาของท้าวกุเวรด้วย และเกี่ยวพันกับเทพองค์อื่น ๆ อีก
อาจกล่าวได้ว่า พระลักษมี เป็นเทพีที่มีความสำคัญ โดยมักจะให้นางมีความเกี่ยวข้องกับเทพองค์อื่น ๆ ด้วย<br />
<br />
นอกจากพระวิษณุ ในยุคกลางประมาณพุทธศตรรษที่ ๑๐-๑๘ พระวิษณุได้รับการเคารพในฐานะสมมุติเทพ(กษัตริย์)ที่เฉลียวฉลาด ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ที่อวตารลงมาสู้กับอสูร โดยน่าสังเกตว่า พระองค์ไม่สามารถปกครองบ้านเมืองโดยขาดการเสียสละของพระลักษมี(ศรี) กล่าวคือ เมื่อมีพระนาง อำนาจของกษัตริย์อันยิ่งใหญ่จึงปรากฏ หากไร้พระนาง กษัตริย์ดูเหมือนจะอ่อนแอ<br />
<br />
ดังนั้นจึงไม่เป็นที่น่าสงสัยว่า เหตุใดพระลักษมีจึงต้องกำเนิดมา เพื่อเป็นคู่ศักติของวิษณุส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-53884884429207881102013-01-27T12:06:00.001+07:002013-01-27T12:06:19.372+07:00หลักปรัชญาที่แฝงในคติความเชื่อประเพณีการบูชา พระลักษมี ต่อจากตอนที่แล้ว<b><a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2013/01/blog-post_24.html" target="_blank"> คติการบูชา พระลักษมี ประเพณี ความเชื่อจากฮินดูถึงไทย </a></b>ตอนนี้จะกล่าวถึงหลักปรัชญาที่แฝงในคติความเชื่อประเพณีการบูชา พระลักษมี<br />
<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/--c1BHX2JTR4/UQSxtQKJPhI/AAAAAAAAAyM/4x5v3e3i8C0/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%A1%E0%B8%B54%E0%B8%81%E0%B8%A3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://2.bp.blogspot.com/--c1BHX2JTR4/UQSxtQKJPhI/AAAAAAAAAyM/4x5v3e3i8C0/s320/%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%A1%E0%B8%B54%E0%B8%81%E0%B8%A3.jpg" width="244" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><div align="center" class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-size: 14pt;">ภาพ คชลักษมี มี ๔ กร<b><o:p></o:p></b></span></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<div>
<b><span style="color: red;">"สี่กร" </span></b>เป็นสัญลักษณ์ของพรที่พระนางมอบให้ มีความหมายถึงจุดหมายสุดท้ายสี่ประการของชีวิตมนุษย์คือ ธรรมะ ความร่ำรวย ความสุขสบายและการหลุดพ้น (โมกขษะ)<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-muluRQt8-f4/UQSxXze8iBI/AAAAAAAAAyE/aUcptRK8tiA/s1600/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://4.bp.blogspot.com/-muluRQt8-f4/UQSxXze8iBI/AAAAAAAAAyE/aUcptRK8tiA/s320/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg" width="212" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span lang="TH" style="font-size: 14pt;">ภาพสระบัว มีบุคคลถือหม้อน้ำปรากฏด้านซ้ายและขวา ใต้ภาพ </span><span style="font-size: 14pt;">Sri Devi : Ellora<b><o:p></o:p></b></span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>"ดอกบัว"</b> </span> Lord Krishna says in his Bhagavad Gita, ‘live life like a lotus that is untouched by water even when it dwells in it". พระวิษณุกล่าวไว้ใน ภควัตคีตาว่า “จงมีชีวิตอยู่เหมือนดอกบัว ที่แม้กำเนิดจากน้ำ แต่น้ำก็ไม่สามารถสัมผัสดอกบัวได้” นอกจากนั้นความหมายของดอกบัวนั้นสัมพันธ์กับคำว่า ศรี-ลักษมี หมายถึง ความบริสุทธิ์และพละกำลัง รากของดอกบัวแม้จะจมอยู่ในโคลนตม แต่สามารถขึ้นมาบานเหนือน้ำได้ โดยโคลนไม่สามารถให้มีรอยมลทินได้ ดอกบัวแสดงถึงจิตใจที่ดีงามและพลังอำนาจ<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">"ดอกบัว"</span></b> ในคติความเชื่อของชาวอินเดียถือเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ และน้ำเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์
ใน Hindu Goddess กล่าวถึงความหมายของดอกบัวไว้ ๒ ความหมายคือ<br />
<br />
<b><span style="color: red;">หนึ่ง </span></b>ดอกบัวหมายเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และชีวิต ดอกบัวที่บานออกจากพระนาภีของพระวิษณุหมายถึงจุดเริ่มต้นของการกำเนิดแห่งจักรวาล ดังนั้นดอกบัวจึงหมายถึงการกำเนิดของจักรวาล
<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>สอง </b></span>ความหมายที่สองนี้เกี่ยวข้องกับศรี-ลักษมี แสดงถึงความบริสุทธิ์และพลังแห่งจิตวิญญาณ รากที่อยูในโคลนตม แต่สามารถเติบโตได้เหนือน้ำ โคลนไม่สามารถเปรอะเปื้อนได้ <br />
<br />
ดอกบัวแสดงถึงจิตวิญญาณอันสมบูรณ์และพลังอำนาจ อาสนะในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธก็คือ ปัทมาสนะ แสดงถึงพลังแห่งจิตวิญญาณ ศรี-ลักษมี ไม่ได้แสดงเฉพาะอำนาจแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังหมายถึงพลังแห่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่รวมกัน และปรากฏออกมาโดยพระนางลักษมี
<br />
<br />
<b><span style="color: red;"><br /></span></b>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-AlatCqqbrY0/UQSw2f6EVmI/AAAAAAAAAx8/13sTWWzonYI/s1600/%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" src="http://2.bp.blogspot.com/-AlatCqqbrY0/UQSw2f6EVmI/AAAAAAAAAx8/13sTWWzonYI/s320/%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87.jpg" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><div align="center" class="MsoNormal">
<span style="font-size: 14pt;">Figure of the goddess Sri<b><o:p></o:p></b></span></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<b><span style="color: red;"><br /></span></b>
<b><span style="color: red;">"ช้าง</span>" </b>ตามคติความเชื่อของชาวอินเดียหมายถึงเมฆฝน ชาวอินเดียและชาวเอเชีย มีอาชีพหลักในการเกษตรกรรม เชื่อว่าช้างที่มีลักษณะดีเกิดขึ้นในเมืองใด เมืองนั้นจะมีฝนตกสม่ำเสมอ และบ้านเมืองจะอุดมสมบูรณ์<br />
<br />
<b><span style="color: red;">ใน Hindu Goddess ก็ได้กล่าวถึง ความหมายของ ช้าง ไว้ดังนี้ </span></b><br />
<b><span style="color: red;"></span></b><br />
<b><span style="color: red;">หนึ่ง</span></b> ช้างมีความหมายถึง ฝนแห่งความอุดมสมบูรณ์ ประเพณีฮินดูโบราณกล่าวว่า ช้างแรก ๆ มีปีกและบินออกมาจากท้องฟ้า ในความเป็นจริง มันคือเมฆและทำให้มีฝนตกลงบนโลกมนุษย์ในทุกที่ที่มันไป ช้างท้องฟ้า (Sky Elephant) เหล่านี้ ถูกสาปโดยนักบวชเมื่อพวกมันร่อนลงบนต้นไม้ ที่ซึ่งพวกนักบวชได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ ทำให้การทำสมาธิถูกขัดขวาง ปีกจึงถูกถอดออก กลายเป็นช้างบนโลกมนุษย์ไป <br />
<br />
แต่ช้างเหล่านี้ก็ยังเกี่ยวพันกับเมฆ
การที่ภาพประติมากรรม แสดงถึงช้างคู่กับพระลักษมีนั้น สนับสนุนให้เห็นหลักการที่ว่า ในลักษณะธรรมชาติของนาง มักจะหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีพระลักษมีที่ใด มีช้างที่นั่น และมีช้างที่ไหน จะมีความอุดมสมบูรณ์ของฝนฟ้าที่นั่นเช่นกัน <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-0-Veh5La4HI/UQS1qyrRREI/AAAAAAAAAyo/lNWIqve5W1g/s1600/%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://2.bp.blogspot.com/-0-Veh5La4HI/UQS1qyrRREI/AAAAAAAAAyo/lNWIqve5W1g/s320/%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87.jpg" width="222" /></a></div>
<br />
<b><span style="color: red;"><br /></span></b>
<b><span style="color: red;">สอง</span></b> ช้างแสดงถึงพลังแห่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ กษัตริย์อินเดียในสมัยโบราณมีโรงช้างไว้เลี้ยงช้างของเมือง เพื่อใช้เป็นกำลังในการทหาร กษัตริย์มักจะพระราชดำเนินโดยช้างในพระราชพิธีหรือที่มีพิธีรีตอง และโดยทั่วไป ช้างถูกพิจารณาในฐานะตัวชี้วัดถึงพลังอำนาจของกษัตริย์นั้นๆ <br />
<br />
กษัตริย์อินเดียในสมัยโบราณได้รับความเชื่อถือในการทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และทำให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล เพื่อความมั่นใจในอำนาจของกษัตริย์ กษัตริย์จึงมักจะสะสมช้างไว้ในพระบารมีเพื่อนำมาซึ่งฝนตก ดังนั้น กษัตริย์และช้าง จึงนำมาสู่ความหมายหลักในรูปเคารพของศรีลักษมีคือ พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่และความอุดมสมบูรณ์ <br />
<br />
ส่วนน้ำที่สรงลงบนศีรษะพระลักษมีนั้น เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งแผ่นดินถือว่าน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญ และภาพที่แสดงโดยให้ช้างสรงน้ำลงบนพระนาง เสมือนอาบน้ำนั้นจึงเรียกว่า คชลักษมี และมักจะถูกสลักในวิหารของไวษณพนิกาย โดยเฉพาะประตูทางเข้า<br />
<br />
ผู้เข้ามาในวิหารนั้น ไม่เพียงแต่ก้มหัวคำนับต่อพระนาง แต่ยังรับพรและโชคลาภจากพระนางอีกด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างช้าง หม้อและน้ำ หมายถึงเมฆและฝน หม้อที่คว่ำลงมีความหมายถึงเมฆฝน บางครั้งแสดงภาพให้เห็นว่าวรุณหรือมารุตทำให้ฝนตก ดังนั้นน้ำที่รินลงมาจากหม้อชี้ให้เห็นถึงฝนที่ก่อให้เกิดชีวิต
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-XpK9cJUyvbs/UQS0wz4FMrI/AAAAAAAAAyc/0tmXOJfptWI/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%B5+.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://4.bp.blogspot.com/-XpK9cJUyvbs/UQS0wz4FMrI/AAAAAAAAAyc/0tmXOJfptWI/s320/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%B5+.jpg" width="267" /></a></div>
<b><br /></b>
<span style="color: red;"><b><br /></b></span><br />
<span style="color: red;"><b><br /></b></span>
<span style="color: red;"><b>"สตรี"</b></span> สตรีที่ปรากฏในรูปประติมากรรมหรือพระลักษมีนั้น จะหมายถึงเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิต เพื่อให้มีความอุดมสมบูรณ์ จึงมีการบูชาเทพเจ้าขึ้นไว้สำหรับอ้อนวอนบูชา <br />
<br />
โดยมีความเชื่อว่าเทพเจ้าที่ประทานความอุดมสมบูรณ์จะต้องเป็นเพศหญิง เพราะเพศหญิงเป็นเพศแม่ ผู้ที่สามารถให้กำเนิดได้
นอกจากนั้น ยังมีการเสนอความเห็นไว้อย่างหลากหลาย ในการตีความสตรีที่ปรากฏในประติมากรรม <br />
<br />
กล่าวถึงตั้งแต่สมัยพระเวทว่า สตรีที่ปรากฏในประติมากรรมนั้น หมายถึงนางอุษา เทพีแห่งรุ่งอรุณ จะต้องทำหน้าที่เปิดประตูท้องฟ้า และได้รับการสรงน้ำจากช้างของพระอินทร์ ต่อมาเมื่อปรากฏในพุทธสถาน ก็ตีความว่าหมายถึงพระนางศิริมหามายา <br />
<br />
เมื่อปรากฏในศาสนาฮินดู ก็หมายถึง พระลักษมี และมีความเห็นอีกทาง กล่าวคือ รูปสตรีที่ปรากฏนี้ เป็นสัญลักษณ์เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เป็นลัทธิพื้นเมืองที่มีการบูชาพระแม่ (Mother Goddess) ของชุมชนโบราณลุ่มน้ำสินธุ อายุราว ๓,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล <br />
<br />
ดังนั้นจะเห็นว่าคติที่ปรากฏนั้น เป็นการผสมผสานกันระหว่างคติพื้นเมืองและนำไปผสมกับคติของศาสนา กลายเป็นคติความเชื่อที่เกี่ยวข้องทั้งความอุดมสมบูรณ์แบบดั้งเดิมกับความมีโชคลาภ ความร่ำรวยในเวลาต่อมา
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">ติดตามอ่านต่อโพสต์หน้านะครับ จะกล่าวถึงเรื่องของการ</span></b><b><span style="color: red;">"</span></b><b><span style="color: red;">กวนเกษียรสมุทร"เรื่องราวที่ปรากฏในวรรณกรรมมหากาพย์เรื่องมหาภารตะ</span></b><br />
<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">อ้างอิงจาก:</span></b> ผาสุข อินทราวุธ. ตราดินเผารูปคช-ลักษมีและกุเวร จากเมืองนครปฐมโบราณ. นิตยสารเมืองโบราณ ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓ สิงหาคม-พฤศจิกายน ๒๕๒๖. (กรุงเทพฯ : อักษรสัมพันธ์), ๒๕๒๖, หน้า ๙๓.
David R. Kinsley. Hindu Goddesses : visions of the divini feminine in the Hindu religious tradition. (London : University of California Press), 1988, p.21. ผาสุข อินทราวุธ. ตราดินเผารูปคช-ลักษมีและกุเวร จากเมืองนครปฐมโบราณ. นิตยสารเมืองโบราณ ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓ สิงหาคม-พฤศจิกายน ๒๕๒๖. (กรุงเทพฯ : อักษรสัมพันธ์), ๒๕๒๖, หน้า ๙๓. B.M. Barua. Barhut Part I,II & III. (New Delhi : Indological book corporation), 1979, pl. LXVII
David R. Kinsley. Hindu Goddesses : visions of the divini feminine in the Hindu religious tradition. (London : University of California Press), 1988, p.22.
T. Richard Blurton. Hindu Art. (London : British Museum Press), 1992, p.151.
Bhagwant Sahai. Iconography of Minor Hindu and Buddhist deities. (Delhi : Vishal Printers), 1975, p.168.</div>
ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-4436152176295792952013-01-24T20:27:00.000+07:002013-01-24T21:47:19.542+07:00คติการบูชา พระลักษมี ประเพณี ความเชื่อจากฮินดูถึงไทย<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-AmcA_gzqBbk/UQE0p73SeZI/AAAAAAAAAxc/3U3FGeO44Oo/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD+%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2+%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.png" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="190" src="http://3.bp.blogspot.com/-AmcA_gzqBbk/UQE0p73SeZI/AAAAAAAAAxc/3U3FGeO44Oo/s320/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD+%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2+%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.png" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b style="font-size: medium; text-align: start;"><u>ประเพณี ความเชื่อจากฮินดูถึงไทย </u></b></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<b>ประเพณี ความเชื่อจากฮินดูถึงไทย </b>ต่อจากตอนที่แล้วคือตอน <a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2013/01/blog-post_22.html" target="_blank"><b>คชลักษมี ๔ กร ประเพณี ความเชื่อ เทพเจ้า จากฮินดูถึงไทย</b></a> เรื่องราวที่จะนำเสนอต่อไปคือ<b> คติการบูชา </b>พระลักษมี พระนางมีผู้นับถือโดยเฉพาะและมีวิหารที่แยกต่างหากจากเทวาลัยของไวษณพนิกาย ใน Maharashtra & The Chennai Ashta Lakshmi Temple ซึ่งเป็นวิหารที่บูชาเฉพาะเทพีลักษมีเท่านั้น<br />
<br />
ซึ่งปรากฏพิธีการบูชาและงานเฉลิมฉลอง ซึ่งแสดงถึงการอ้อนวอน ร้องขอพรจากพระนาง เช่น Deepavali , Varalakshmi Viratham โดยประกอบพิธีในการภาวนา ๙ คืน (Navaratri) แด่พระลักษมีและพระสรัสวตี และอีก ๓ คืนแด่เทพีองค์อื่น ๆ<br />
<br />
ผู้ที่นับถือพระนางมักจะปรารถนาการได้รับการสนับสนุน ความสำเร็จและความสามารถเฉพาะตน หญิงสาวผู้พร่ำสวดมนตรา เพียงต้องการความงามและความเปล่งปลั่งที่ออกมาจากภายใน การสวดมนตราต่อพระนาง เราจะได้เรียนรู้ถึงการเข้าถึงความเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง และทำให้ทุกคนชื่นชอบเราได้ นอกจากนั้นมนตรายังนำโชคลาภและความมีโชคมาสู่ด้วย
นอกจากนั้นที่ Sri Ashtalakshmi Temple At Elliot’s beach In Adyar เป็นวิหารที่มีการบูชามหาวิษณุและมหาลักษมี ซึ่งภายในมีการบูชาอัษฏ-ลักษมีด้วย <br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-Kg46SaBrUtw/UQE18xUuvaI/AAAAAAAAAxs/YPovdDgfl5A/s1600/Sri+Ashtalakshmi+Temple+At+Elliot%E2%80%99s+beach+In+Adyar.png" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-Kg46SaBrUtw/UQE18xUuvaI/AAAAAAAAAxs/YPovdDgfl5A/s1600/Sri+Ashtalakshmi+Temple+At+Elliot%E2%80%99s+beach+In+Adyar.png" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><div align="center" class="MsoNormal">
<b><span style="font-size: 14.0pt;"><u>Sri Ashtalakshmi Temple At Elliot’s beach In Adyar</u><o:p></o:p></span></b></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
รวมทั้งที่วิหาร Punnai- nallur ใกล้ ๆ กับ Tanjore ใน The Sthala- puranam กล่าวว่า ก่อนที่จะทำสงครามกับอสูรชื่อ Tanja ของ Tanjore พระศิวะได้กำหนดตำแหน่งของอัษฏ-ลักษมีในทั้งแปดทิศ และหนึ่งในทิศนั้น คือทิศตะวันออก ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ตั้งของวิหารแห่งนี้<br />
<br />
แหล่งที่มา: <span style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;">www.Indian_heritage.org/gods/lakshmi.html</span><span lang="TH" style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;"> เมื่อวันที่ ๑๖
สิงหาคม ๒๕๔๙ และดูรายละเอียดใน </span><span style="font-size: 11.5pt; text-align: justify;">David R.
Kinsley. <b>Hindu Goddesses : visions of the divini feminine in the Hindu
religious tradition</b>.<span lang="TH"> (</span>London : University of
California Press<span lang="TH">)</span>, 1988, p.32-34</span><span style="text-align: justify;">.</span><br />
<div class="MsoFootnoteText" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<o:p></o:p></div>
ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comThailand15.870032 100.992541000000070.21731199999999973 80.338244000000074 31.522752 121.64683800000007tag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-62932238760624812132013-01-22T15:40:00.001+07:002013-01-22T15:40:36.697+07:00คชลักษมี ๔ กร ประเพณี ความเชื่อ เทพเจ้า จากฮินดูถึงไทย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-wx9Fu4ceVTs/UP5QRcFZLKI/AAAAAAAAAwU/tseGXhn9tDg/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD+%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2+%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="198" src="http://3.bp.blogspot.com/-wx9Fu4ceVTs/UP5QRcFZLKI/AAAAAAAAAwU/tseGXhn9tDg/s320/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD+%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2+%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.png" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
จะว่าไป<b><a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/" target="_blank">ประเพณีไทย</a></b>ของเราก็ได้รับเอาความเชื่อในส่วนของรูปเคารพจากศาสนาฮินดูมามากเพราะศาสนาฮินดูมีเทพเจ้าเยอะแยะมากมาย ทั้งเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่เราคุ้นหูและไม่คุ้นหู อาจะต่างคนต่างเรียกแต่รูปเคารพเดียวกัน(มีหลายชื่อ)<br />
<br />
<b><a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2013/01/blog-post_12.html" target="_blank">ต่อจากตอนที่แล้ว ประเพณี ความเชื่อ เทพเจ้า จากฮินดูถึงไทย พระวิษณุ พระลักษมี พระพรหม ครุฑ และนารท </a></b><br />
<b>พระลักษมี </b>เมื่อประทับเคียงข้างพระวิษณุ พระลักษมีจะมีเพียงสองกร ถือดอกบัว แต่ถ้าประทับเดี่ยว จะมี ๔ กร ๒ กรขวาถือดอกบัวและผลไม้ ๒ กรซ้ายจะถือหม้อบรจุเพชรพลอยและถือสังข์<br /><br />
“พระศรี” มี ๒ กร ถือ Srifala (มะตูม ? ) และ ดอกบัว พระนางจะปรากฏพร้อมด้วยบุรุษสองคน และช้าง สองหรือสี่เชือกถือหม้อก้นกลม ? Ghatas [pot drum]<br /><br />
“พระลักษมี” มี ๒ กร ถือสังข์ และดอกบัว ขนาบข้างด้วยวิทยาธร<br />
หากมี ๔ กร ถือ จักร สังข์ ดอกบัว และคทา หรือถือ มะนาว (Mahalunga) ดอกบัว หม้อน้ำ หรือ ดอกบัว ผลทับทิม (Bilva) สังข์ และหม้อน้ำ<br /><br />
๘ กร ถือ ธนู คทา ลูกศร ดอกบัว จักร สังข์ ไม้ตีพริก(มูสละ) และขอสับช้าง<br />
ผิวกายของพระลักษมีมีลักษณะพิเศษคือ มีสีชมพู สีทองและสีขาว หากกายสีชมพูจะหมายถึงนางปรากฏในรูปของพระแม่ เมื่อกายสีทองจะหมายถึงศักติแห่งจักรวาล (The Universal Shakti) และหากกายเป็นสีขาว จะหมายถึงนางเป็นแม่แห่งแผ่นดิน<br />
<br />
พระลักษมี จะปรากฏในรูปกายต่าง ๆ มี ๘ ลักษณะ โดยแต่ละรูปแบบจะมอบความร่ำรวยให้แด่ผู้ที่นับถือและศรัทธา อัษฏ-ลักษมี (Astalakshmi) มีดังนี้<br /><br />
๑. Adhi Lakshmi [The main goddess] หัวหน้าเทพี<br /><br />
๒. Dhanya Lakshmi [Granary wealth] เทพีแห่งข้าว<br /><br />
๓. Dhairya Lakshmi หรือ Veera Lakshmi [Wealth of courage] เทพีแห่งความกล้าหาญ<br /><br />
๔. Gaja Lakshmi [Elephants, symbols of wealth] เทพีแห่งความร่ำรวย<br /><br />
๕. Santhana Lakshmi [Wealth of progeny] เทพีแห่งการสืบพันธุ์<br /><br />
๖. Vijaya Lakshmi [Wealth of victory] เทพีแห่งชัยชนะ<br /><br />
๗. Dhana Lakshmi [Wealth of knowledge] เทพีแห่งความรอบรู้<br /><br />
๘. Vidhya Lakshmi หรือ Aishwarya Lakshmi [Monetary wealth] เทพีแห่งเงินทอง<br /><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ใน Vaisnava Iconography in the Tamil Country ได้กล่าวถึงชื่อของอัษฏลักษมี ที่แตกต่างไปคือ มี Saurya Lakshmi , Kirti Lakshmi และ Rajya Lakshmi แทนที่ Adhi Lakshmi , Gaja Lakshmi และ Santhana Lakshmi<br /><br /><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"></span>อย่างไรก็ตาม แนวคิดเกี่ยวกับอัษฏลักษมีนี้ ได้ปรากฏขึ้นในพัฒนาการในช่วงหลัง และเป็นตัวแทนแสดงรูปของวิวัฒนาการในลัทธิบูชาพระลักษมี พระนางจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระวิษณุในฐานะชายา ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของนิกายไวษณพนี้ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-32185453272561127792013-01-13T14:15:00.000+07:002013-01-13T15:19:33.766+07:00ประเพณี ความเชื่อ เทพเจ้า จากฮินดูถึงไทย พระวิษณุ พระลักษมี พระพรหม ครุฑ และนารท<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-n1PS_cg39Is/UPJefpyFhaI/AAAAAAAAAms/asZ4ah7n9yQ/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://4.bp.blogspot.com/-n1PS_cg39Is/UPJefpyFhaI/AAAAAAAAAms/asZ4ah7n9yQ/s320/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9.jpg" width="240" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b>พระวิษณุ พระลักษมี พระพรหม ครุฑ และนารท</b></td></tr>
</tbody></table>
<b><br /></b>
<b><br /></b>
<b>ต่อจากตอนที่แล้ว <a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2013/01/blog-post.html" target="_blank">คติความเชื่อ เทพเจ้า และประเพณี จากคัมภีร์ปุราณะของศาสนาฮินดู</a></b><br />
ประเพณี ความเชื่อ เทพเจ้า จากฮินดูถึงไทย พระวิษณุ พระลักษมี พระพรหม ครุฑ และนารท ในบางคัมภีร์ จะให้ พระศรี-ลักษมีเกี่ยวพันกับโสมะ<br />
<br />
บางฉบับกล่าวว่า พระลักษมีเป็นภรรยาของธรรมะ และที่น่าสนใจคือพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างศรีและอินทรา, มีตำนานที่เกี่ยวกับอสูร “บาลี” และเกี่ยวพันกับพระลักษมี ,
มีบางตำนานที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของอินทรากับลักษมี โดยนางนั่งเคียงข้างอินทรา อินทราจึงทำให้ฝนตก ดังนั้นอินทราและลักษมี จึงเป็นคู่ของเทพและเทพี ที่ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์<br />
<br />
ในสมัยพระเวท มีคู่ของเทพและเทพีคือ Dyaus และ Prthivi ต่อมาในระยะหลังจึงแสดงโดยอินทราและลักษมีแทน , บางเรื่องที่เก่าแก่ ให้ศรี-ลักษมีความเกี่ยวพันกับกุเวร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทรัพย์สมบัติและความร่ำรวย ดังนั้น ศรี-ลักษมี จึงเกี่ยวพันกับเทพหลายองค์<br />
<br />
ในมหาภารตะได้กล่าวว่าพระนางอยู่ร่วมในสำนักของท้าวกุเวร และคัมภีร์บางเล่มในยุคต่อมา อธิบายว่าพระนางเป็นชายาของท้าวกุเวร และเป็นลัทธิของเทพีแห่งความร่ำรวย<br />
<br />
โดยปกติ“พระลักษมี” จะประทับนั่งบนดอกบัวบาน พระหัตถ์ทั้งสองข้างถือดอกบัว สวมพวงมาลัยดอกบัว มีช้างสองเชือกขนาบซ้ายขวา โดยช้างทั้งสองกำลังเทน้ำจากหม้อน้ำ สรงลงบนศีรษะของพระนาง เป็นเทพีที่มีความงดงาม ผิวกายสีทอง สวมเครื่องประดับทองฝังทับทิมและหินมีค่าอื่น ๆ นัยน์ตาเหมือนกลีบดอกบัว เอวกลมกลึง และมีเครื่องประดับศีรษะที่ทำจากเพชรพลอย..........<br />
<br />
ติดตามอ่านต่อโพสต์หน้าจ้า.............ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-72186088905881881542013-01-02T10:56:00.002+07:002013-01-02T11:17:10.963+07:00คติความเชื่อ เทพเจ้า และประเพณี จากคัมภีร์ปุราณะของศาสนาฮินดู ต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว<a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2012/12/blog-post_30.html" target="_blank"> <b>คติความเชื่อ เทพเจ้า และประเพณีไทย ตอน กำเนิดของ “ลักษมี : คชลักษมี”</b></a> <b>คัมภีร์ปุราณะของศาสนาฮินดู</b> พระลักษมีหมายถึงพระแม่แห่งจักรวาลและเป็นนางคู่บารมีของพระวิษณุ และถือกำเนิดจากการกวนเกษียรสมุทร เพื่อนำเอาน้ำอมฤตมาให้แก่บรรดาเทพต่าง ๆ นอกจากนั้น นางยังมีชื่อเรียกอีกเช่น กมลา ปัทมา<br />
<br />
นอกจากนั้นนางยังวิวาห์กับอวตารของพระวิษณุคือ<b> พระนารายณ์</b> ในร่างของ<b>นางสีดา </b>, ในอวตาร<b>พระกฤษณะ</b> ในร่างของ<b>นางรุคมินี</b> เป็นต้น<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-Jdghq9jY2Oo/UOOuYT_SIVI/AAAAAAAAAkg/e_jdRqqdJJ0/s1600/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%B5.png" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-Jdghq9jY2Oo/UOOuYT_SIVI/AAAAAAAAAkg/e_jdRqqdJJ0/s1600/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%B5.png" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b><u>ภาพพระลักษมี เกิดจากการกวนเกษียรสมุทร </u></b></td></tr>
</tbody></table>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
นางมีโอรสชื่อ <b>กามะ</b> กับ<b>พระวิษณุ</b>
นอกจากคัมภีร์ทางศาสนาที่กล่าวถึง<b> ศรี</b> หรือ<b>ลักษมี</b>แล้ว ใน<b>สมัยคุปตะ </b>ก็ปรากฏแนวคิดของ<b>พระลักษมี</b>ในฐานะชายาของ<b>พระวิษณุ</b>แล้ว ใน<b>จารึกสมัยคุปตะ </b>กล่าวว่า<b>ศรีลักษมี</b>เป็นชายาของ<b>พระวิษณุ</b> จารึก <b>The Junagarh ของ Skandagupta </b>อ้างถึง<b>พระวิษณุ</b>ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวที่<b>พระลักษมี</b>จะอยู่ร่วมด้วย เทพีผู้ซึ่งอยู่ร่วมกับดอกบัว จารึกหิน <b>The Gwalior </b>ของ <b>Mihirakula</b> กล่าวว่า<b> พระวิษณุ</b>เป็นผู้เดียวที่สามารถนำ<b>เทพีศรี</b>มาประดับไว้ที่ทรวงอกได้ คล้ายคลึงกับข้อความใน จารึกในช่วงปลายของ 5th century A.D. และช่วงต้นของ 6th century A.D.<br />
<br />
กำเนิดของ<b>พระลักษมี</b> พบใน <b>The Great Sri Sukta </b> หรือ<b> Hymn to Sri </b> และใน<b> Hindu Mythology</b> ได้กล่าวถึงกำเนิดของพระลักษมีซึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในครั้งโบราณกาล กล่าวถึงทุรวสะได้มอบพวงมาลัยดอกไม้ให้แด่<b>พระอินทร์</b> หัวหน้าเหล่าเทพ ซึ่งเป็นพวงมาลัยที่ไม่มีวันร่วงโรย อินทราได้มอบมาลัยดอกไม้นั้นให้แด่ช้างไอยราวัตะ ต่อมาทุรวสะเห็นช้างเหยียบพวงมาลัยดอกไม้ จึงได้สาปแช่งอินทราว่า อินทราและเหล่าทวยเทพจะสูญเสียพลัง เนื่องด้วยความหยิ่งและทิฐิของตน จากคำสาปแช่งนี้ พวกอสูรจึงสามารถกำจัดเหล่าเทพให้ออกจากสวรรค์ได้<br />
<br />
เหล่าเทพที่พ่ายแพ้ได้หนีไปพึ่ง<b>พระพรหม </b>พระพรหมจึงแนะให้เหล่าเทพ<b>กวนเกษียรสมุทร</b> เพื่อจะให้ได้ซึ่ง<b>น้ำอมฤต </b>เหล่าเทพจึงไปพบ<b>พระวิษณุ</b>เพื่อขอความช่วยเหลือ<b> พระวิษณุ</b>จึง<b>อวตาร</b>เป็นเต่าเพื่อรองรับเขา<b>มันดาละ</b> เพื่อใช้ในการ<b>กวนเกษียรสมุทร </b>ในขณะที่<b>ราชาแห่งงู วาสุกิ</b> กลายร่างเป็นเชือก เหล่า<b>เทพและอสูร </b>ต่างช่วยกันในการ<b>กวนเกษียรสมุทร </b><br />
<br />
ท่ามกลาง<b>การกวนเกษียรสมุทร </b>ได้บังเกิดบุคคลและสิ่งของสำคัญขึ้นมาดังนี้คือ<b> พระลักษมี </b>และพระนางได้เลือ<b>กพระวิษณุ</b>ผู้ซึ่งดีเลิศประเสริฐมาเป็นคู่บารมี ในฐานะที่<b>พระวิษณุ</b>มีพลังในการควบคุมมายาได้ ด้วยเหตุผลนี้ พระลักษมีจึงถูกขนานนามว่า<b> ธิดาแห่งท้องทะเล </b>หลังจากนั้นจึงบังเกิด พระจันทร์ขึ้น และถูกเรียกว่าเป็น<b>พระเชษฐา</b>ของ<b>พระลักษมี</b>ด้วย
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<b><u>อ้างอิงแหล่งที่มา</u></b><br />
<br />
<br />
<ul>
<li>David R. Kinsley. Hindu Goddesses : visions of the divini feminine in the Hindu religious tradition. (London : University of California Press), 1988, p.20.</li>
<li>Jouveau-Dubreuil. Iconography of Southern India. (Bharat-Bharati : Delhi), 1978, p.100.</li>
<li>C.Sivaramamurti. Sri Lakshmi in Indian Art and Thought. (New Delhi : Kanak Publication), 1982 .</li>
<li>Bhagwant Sahai. Iconography of Minor Hindu and Buddhist deities. (Delhi : Vishal Printers), 1975, p.173.</li>
<li>www.wikipedia.com เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๘</li>
</ul>
<br />
<div>
<br /></div>
ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-8721649986426975612012-12-31T14:23:00.000+07:002013-01-04T16:33:10.507+07:00คติความเชื่อ เทพเจ้า และประเพณีไทย ตอน กำเนิดของ “ลักษมี : คชลักษมี”<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-DLIUFp_FBjU/UOE7En65AQI/AAAAAAAAAj8/FBTa7ISF2fc/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%B5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: left;"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/-DLIUFp_FBjU/UOE7En65AQI/AAAAAAAAAj8/FBTa7ISF2fc/s320/%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1%E0%B8%B5.jpg" width="255" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b>Lakshmi : Gaja Lakshmi ลักษมี : คชลักษมี लक्ष्मी : गज लक्ष्मी</b></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<b>ความหมาย ตำนาน กำเนิดของ “ลักษมี : คชลักษมี”</b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><br /></b></div>
คำว่า “ลักษมี” (Lakshmi) ตามความหมายของภาษาสันสกฤต หมายถึง Lakshyam-ความสำเร็จ , Laksham-จุดมุ่งหมาย , Laksha- จำนวนแสน<br />
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ลักษมี หรือ คชลักษมี เป็นเทพีที่เป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย ความสดใส ความฉลาดและความมีโชคลาภ ซึ่งหมายถึงความมีโชค ความสวยงามและความอุดมสมบูรณ์ นางเป็นชายาของพระวิษณุ พาหนะคือ นกเค้าแมว การปรากฏของนางปรากฏทั้งในศาสนาเชน ศาสนาพุทธ และศาสนาฮินดู<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เนื่องด้วยนางเป็นเทพีแห่งความร่ำรวย และความบริสุทธิ์ พระนางจึงเป็นเทพีแห่งความรอบรู้ด้วย (Brahma-vidya) และชื่อหนึ่งของนางคือ วิทยา (Vidya) ซึ่งมีความหมายคือความรอบรู้ พระนางเป็นเทพีที่ผู้บูชาปรารถนาความสุขในครอบครัว เพื่อน การแต่งงาน เด็ก ๆ อาหารและความสมบูรณ์มั่งคั่ง ความสวยงามและสุขภาพที่ดี ดังนั้นพระนางจึงเป็นที่นิยมในการบูชาในศาสนาฮินดู ในฐานะที่เป็นเทพีแห่งความร่ำรวย พระนางจึงถูกขนานนามอีกว่า Dharidranashini [destroyer of poverty] และ Dharidradvamshini [one who opposes poverty]<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-todzbynHN8E/UOE8J_Tgo4I/AAAAAAAAAkI/GfXR-3KeM2U/s1600/poosi.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/-todzbynHN8E/UOE8J_Tgo4I/AAAAAAAAAkI/GfXR-3KeM2U/s320/poosi.jpg" width="249" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b>ภูเทวี ศรี สรัสวตี</b></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>“ลักษมี”</b> หรือ <b>“ศรี”</b> เป็นเทพีแห่งความร่ำรวยและความเจริญ มักจะปรากฏทั้งองค์เดี่ยวและเคียงคู่กับพระวิษณุ หากพระวิษณุปรากฏพร้อมด้วย <b> “ภู”</b> หรือ <b>“สรัสวตี” </b> พระนางจะปรากฏร่วมในนาม <b>”ศรี” </b>แต่หากปรากฏกายพร้อมกับวิษณุ พระนางจะถูกขนานนามว่า <b>“ลักษมี”</b><br />
<br />
<br />
เมื่อพระนางปรากฏกายองค์เดียว พระนางอาจถูกขนานนามทั้ง<b> “ศรี” </b>หรือ<b> “ลักษมี”</b> โดยจะปรากฏในรูปของ “ศรี” บ่อยครั้งกว่า รูปประติมากรรมเกี่ยวของพระลักษมีจะพบได้น้อยกว่า พระลักษมีเป็นชายาองค์แรกของพระวิษณุ และเป็นการยากที่จะเข้าใจได้ว่า เหตุใดภาพประติมากรรมของ<b> “ศรี” </b>หรือ <b>“ลักษมี”</b> ควรจะมีลักษณะที่แตกต่าง เมื่อปรากฏกายเพียงองค์เดียว<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>นอกจาก <b>“ศรี”</b>หรือ <b>“ลักษมี”</b> แล้ว บางครั้ง <b>อทิติ (Aditi) </b>ยังปรากฏแทนศรีในเวลาต่อมา ในฐานะเทพีองค์เดียวและในฐานะชายาของ<b>พระวิษณุ อทิติ</b>ไม่ใช่<b>พระลักษ</b>มีเสียทีเดียว เป็นมากกว่า<b>ภูเทวี</b> และในบางครั้งปรากฏในฐานะปรฐวี ซึ่งเป็นลักษณะที่ใกล้เคียงกันมากระหว่าง “ศรี” และ “อทิติ”<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>แนวคิดเกี่ยวกับ <b>“ศรี”</b> หรือ <b>“ลักษมี”</b> นี้ สำคัญมากในวรรณกรรมยุคพระเวท เอกภาพของแนวคิด “ศรี” หรือ “ลักษมี” นี้ เป็นลักษณะที่มีความสำคัญในยุคนี้ ทั้งสองได้รับการกล่าวถึงด้วยกันเสมอในหลาย ๆ แห่ง และจนกลายเป็นลักษณะที่สามารถชี้ชัดได้ใน <b>ศรีสุกตะ (Sri Sukta) </b>ใน<b>ฤคเวท </b> ซึ่งน่าจะเก่ากว่า<b>คัมภีร์ภาษาบาลี</b>ของ<b>ศาสนาพุทธ</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ใน <b>ศรีสุกตะ</b> กล่าวว่า ศรีถูกปลุกโดยเสียงกัมปนาทของช้าง สรงโดยช้างของเหล่ากษัตริย์ด้วยหม้อทองคำ พระนางเปลือยกายในสระบัว เป็นที่รักของพระวิษณุ มหาลักษมี<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ดังนั้น ศรี ในยุคสมัยนี้จึงมีคุณสมบัติที่สำคัญและมีเครื่องหมายคือดอกบัวและช้างที่สรงน้ำ ในโคลงนี้นางจึงได้รับการแสดงถึงลักษณะที่สำคัญอย่างชัดเจน<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ตำนานที่กล่าวถึง<b> “ศรี” </b>ในฐานะที่เป็นเทพีในยุคแรกสุด กล่าวว่า นางเป็นทั้งตัวบุคคลและความดีงามที่ปรากฏ โดยเฉพาะความจงรักภักดี นางกำเนิดมาจากผลแห่งความการบำเพ็ญของ<b>นางประชาปดี</b> เทพเจ้าอื่น ๆ ปรารถนาคุณลักษณะของนาง จึงชิงเอาคุณลักษณะเหล่านี้ไปจากนาง<br />
<br />
<b>คุณลักษณะหรือวัตถุทั้ง ๑๐ ประกอบด้วย </b>อาหาร , พลังอำนาจอย่างใหญ่หลวง , การมีอำนาจเหนือจักรวาล , ศีลธรรมขั้นสูง , พลังอำนาจ , ความศักดิ์สิทธิ์ , อาณาจักร , โชคลาภ , มีเมตตา และความงาม ดังนั้น ใน<b>คัมภีร์พระเวท เทพีศรี</b> จึงถือกำเนิดจากผลของการทำดี โดยเฉพาะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังแห่งการจงรักภักดีและความร่ำรวย<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ใน<b>คัมภีร์พระเวท </b>“ศรี” ได้ถูกอ้างว่าจะนำมาซึ่งความมีชื่อเสียงและเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย นางได้รับการกล่าวขานถึงความมีเมตตาและให้ความอุดมสมบูรณ์ นางให้ทองคำ วัวควาย ม้า และอาหาร แด่ผู้ที่บูชานาง พระนางได้กำจัดน้องสาวคือ<b> อลักษมี</b> ตามคำวิงวอน<b> </b><br />
<b><br /></b>
<b>อลักษมี </b>คือ ความโชคร้าย ผู้ซึ่งปรากฏในรูปแบบของความโชคไม่ดี ความยากจน ความหิว และความกระหาย พลังอำนาจอันใหญ่หลวง ถูกแสดงโดยการประทับนั่งตรงกลางราชรถ ครอบครองม้าที่ดีที่สุด และถูกแซ่ซ้องโดยเสียงของช้าง<br />
<br />
ลักษณะภายนอกที่ปรากฏ นางมีบารมีและเครื่องประดับที่มากมาย รัศมีนางดั่งสีทอง เปล่งปลั่งดั่งพระจันทร์ นางสวมสร้อยคอทีทำด้วยทองคำและเงิน นางถูกกล่าวถึงอยู่เสมอว่าโชติช่วงดั่งพระอาทิตย์ และรุ่งโรจน์ดั่งเปลวไฟ<br />
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>พระลักษมี</b> มีชื่อที่หลากหลายซึ่งเกี่ยวข้องกับดอกบัว เช่น<b> ปัทมาปรียา</b> – ผู้ซึ่งชอบดอกบัว, <b>ปัทมามาลาธระ</b> – ผู้ซึ่งชอบสวมมาลัยดอกบัว, <b>ปัทมามุขิม </b>หรือ <b>ปัทมาสุนทรี </b>- ผู้ซึ่งมีความสวยราวกับดอกบัว เป็นต้น<br />
<div>
<br /></div>
<br />
ติดตามอ่านต่อ <b><a href="http://xn--12c0bmop0abc6c1dg9c9hnc6f.blogspot.com/2013/01/blog-post.html" target="_blank">คติความเชื่อ เทพเจ้า และประเพณี จากคัมภีร์ปุราณะของศาสนาฮินดู </a></b><br />
<br />
<div>
<br /></div>
ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-21164381509100397602012-12-22T15:44:00.001+07:002012-12-22T16:04:27.594+07:00ประเพณีไทยอีสานเอาบุญเดือนสิบสอง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-T_utBgpAdeg/UNV3RVRETfI/AAAAAAAAAjo/hz8Edgf4WJ8/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-T_utBgpAdeg/UNV3RVRETfI/AAAAAAAAAjo/hz8Edgf4WJ8/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
<b>ประเพณีไทยอีสานเอาบุญเดือนสิบสอง</b> ภาคอีสาน เป็นภาคหนึ่งของประเทศไทยที่มีความมั่งคั่งในด้านประเพณีวัฒนธรรม มีวิถีชีวิตที่ผูกติดกับพิธีกรรม เป็นภาคที่มีความอุดมสมบูรณ์ของภาษา ประเพณีวัฒนธรรม ซึ่งจะมีงาน บุญเยอะมาก ใน 1 ปี มีประเพณีพิธีกรรมทุกเดือน เพราะคนอิสานยึด ฮีต 12 ครอง 14 เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งหลายท่านอาจไม่เข้าใจศัพท์ภาษาอีสานเราจะมาอธิบายกันง่ายๆเลย<br />
<br />
<b>"ฮีต12" </b>แปลเป็นไทยกลางคือจารีต 12 ข้อ (คนอิสานออกเสียงเป็นฮีตสั้นๆได้ใจความ ) จารีตประเพณี คือ ระเบียบแบบแผนหรือแนวทางการประพฤติปฏิบัติที่สืบทอดกันมาช้านานและ เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ซึ่งแต่เดิมนั้นกฎหมายก็มีที่มาหรือได้รับแนวทางจากจารีตประเพณีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาอุดช่องว่างของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 4 นั้น ต้องมีสาระสำคัญคือ<br />
<br />
<br />
<ul>
<li>ต้องเป็นจารีตประเพณีที่เป็นที่ยอมรับและถือปฏิบัติของคนในสังคม</li>
<li>จารีตประเพณีนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองหรือศีลธรรมอันดีทั้งหลายของคนในสังคม</li>
<li>จารีตประเพณีนั้นต้องเป็นจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ซึ่งความหมายของจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น หมายถึงจารีตประเพณีของประเทศไทย เรานั่นเอง จารีตประเพณีนั้นต้องมีเหตุผลและความเป็นธรรม</li>
</ul>
<br />
<br />
<b>"คอง 14"</b> แปลเป็นไทยกลางก็คือครรลองครองธรรม 14 ข้อ(คนอิสานออกเสียงเป็นคองสั้นๆได้ใจความ ) * ครรลอง คือ แนวทางที่เป็นความจริงเป็นหลัก มีรูปแบบของความจริงนั้น แต่มี หลายลักษณะ เช่น รูปแบบชีวิต การเกิดแก่ เจ็บตาย ล้วนเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือ มีกรรม ย่อม มีผลแห่งกรรม อยู่ที่บุคคลจะใช้รูปแบบใด รูปแบบ ดี หรือ เลว อยู่ที่การตัดสินใจของคน ทุกสิ่งย่อมมีครรลองของตน มีเหตุย่อมมีผล<br />
<br />ส่วนจะมีอะไรบ้างในรายละเอียดยิบย่อย เอาไว้โพสต์หน้าจะใส่รายละเอียดทั้งหมด เพราะจากการที่ได้ติดตามและหาข้อมูลเรื่องนี้มีความคลาดเคลื่อนกันเยอะ บ้างพิมพ์ผิดบ้าง บ้างก็ตี ความหมายไปอีกแนวทางหนึ่งซึ่งไม่สอดคล้องกันนัก<br />
<br />
<b><u>มีผญ๋าว่าไว้</u></b><br />
เดือนสิบสองมาแล้วลมวอยหนาวสั่น เดือนนี้หนาวสะบั้นบ่คือแท้แต่หลัง ในเดือนนี้เพิ่นว่าให้ลงทอดพายเฮือ ซ่วงกันบูชา ฝูงนาโค นาคเนาว์ในพื้น ชื่อว่าอุชุพะนาโค เนาว์ ในพื้นแผ่น สิบห้าสกุลบอกไว้บูชาให้ส่งสะการ จงทำให้ทุกบ้านบูชาท่านนาโค แล้วลงโมทนาดอม ชื่นชมกันเล่น กลางเว็นกลางคืนให้ระงมกันขับเสพ จึงสิสุขอยู่สร้างสบายเนื้ออยู่เย็น ทุกข์ทั้งหลาย หลีกเว้นหนีห่างบ่มีพาน ของสามานย์ทั้งปวงบ่ได้มีมาใกล้ ไผผู้ทำตามนี้เจริญขึ้นยิ่งๆ ทุกสิ่งบ่ไฮ้ ทั้งข้าวหมู่ของ กรรมบ่ได้ถึกต้องลำบากในตัว โลดบ่มีมัวหมองอย่างใดพอดี้ มีแต่สุขีล้นครองคน สนุกยิ่ง อดในหลิงป่องนี้เด้อเจ้าแก่ชรา(ที่มา:<span style="background-color: white; font-family: arial, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 15px;">isangate.com</span>)<br />
<br />
<b>เดือนสิบสอง</b> เป็นเดือนส่งท้ายปีเก่าตามคติเดิม มีการทำบุญกองกฐินซึ่งเริ่มตั้งแต่วัน แรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ดถึงกลางเดือนสิบสอง แต่ชาวอีสานครั้งก่อนนิยมเริ่มทำบุญทอดกฐินกัน ตั้งแต่ข้างขึ้นเดือนสิบสอง จึงมักจะเรียกบุญกฐินว่า บุญเดือนสิบสอง สำหรับประชาชนที่อาศัย อยู่ตามริมฝั่งน้ำใหญ่ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี จะมีการจัดส่วงเฮือ (แข่งเรือ) เพื่อระลึกถึงอุสุพญานาค ดังคำกลอนข้างต้น<br />
บางแห่งทำบุญดอกฝ้ายเพื่อใช้ทอเป็นผ้าห่มกันหนาวถวายพระเณร จะมีพลุตะไล จุดด้วย บางแห่งทำบุญโกนจุกลูกสาวซึ่งนิยมทำกันมากในสมัยก่อน<br />
<br />
<br />
<br />ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-3171560862248730162012-12-17T14:52:00.003+07:002012-12-17T14:58:25.479+07:00งานประเพณีไทย ยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-eAu0aKcgOMg/UM7O8osFBrI/AAAAAAAAAgc/C2TTGq8H5H0/s1600/yutya.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img alt=" ยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก" border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-eAu0aKcgOMg/UM7O8osFBrI/AAAAAAAAAgc/C2TTGq8H5H0/s1600/yutya.jpg" title="งานประเพณีไทย ยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b>งานยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก</b></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<b><u>งานประเพณีไทย ยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ ๑๐ -๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ </u></b><br />
<br />
กรุงศรีอยุธยาดำรงความเป็นราชธานีนานถึง 417 ปี ได้สั่งสมวัฒนธรรมจนก่อเกิดเป็นเอกลัษณ์เฉพาะตัวสืบต่อกันมา จนกลายเป็นรากฐานของประเทศไทยและวิถีชีวิตของคนไทยในทุกวัน<br />
<br />
จากความโดดเด่นของอารยธรรม ประเพณีและศิลปะวัฒนธรรม องค์การยูเนสโก จึงประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเป็น<b>มรดกโลกทางวัฒนธรรม</b> เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๔ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลก ตั้งแต่ปี๒๕๓๔ จนได้มีการเฉลิมฉลองโดยจัด<b>งานยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลกขึ้น</b> ภายในงานยังมีการจัดแสดงแสงสีเสียงแล้วยังมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกประดิษฐานให้ประชาชนทั่วไปได้สักการะ บริเวณมณฑลพิธีหน้าวิหารพระมงคลบพิตร<br />
<br />
<br />
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หน่วยงานภาครัฐและเอกชน กำหนดจัดงาน ยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก และงานกาชาด ในวันที่ ๑๐ -๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ปีนี้เลื่อนจากเดือนธันวาคมของทุกปี เนื่องจากประสบอุทกภัยที่ผ่านมา<br />
<br />
นางสาวธนวัน กาสี ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การจัดงานยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก และงานกาชาด มีกิจกรรมที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ การแสดงแสง เสียง ในชื่อชุด <b>“ยอยศยิ่งฟ้า นานาชาติประกาศก้อง แผ่นดินทองศรีอยุธยา” </b>โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา บัตรเข้าชมราคา ๒๐๐ บาท และ ๕๐๐ บาท นอกจากนั้น ยังมี<br />
<br />
<br />
<ul>
<li> กิจกรรมการถ่ายภาพโบราณเป็นภาพหนังใหญ่ ซึ่งเป็นศิลปะที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา</li>
<li> ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านและการจัดแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนโบราณ</li>
<li> สัมผัสบรรยากาศตลาดย้อนยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาและตลาดน้ำ พร้อมเลือกชิมอาหารคาว-หวานเลิศรสมากมาย</li>
<li> การสาธิตศิลปหัตถกรรมไทย เช่น การสานปลาตะเพียน เป็นต้น</li>
<li> การแสดงดนตรีไทยและดนตรีนานาชาติ</li>
<li> กิจกรรมงานกาชาด การจำหน่ายของที่ระลึก และอื่นๆ อีกมากมาย </li>
</ul>
<br />ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comจ.พระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย14.330435 100.5296114999999913.3461435 99.238717999999992 15.314726499999999 101.82050499999998tag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-82882673107695156522012-12-13T20:42:00.003+07:002012-12-15T21:54:45.802+07:00ประเพณีไทยบุญบั้งไฟเกี่ยวอะไรกับกี่เพ้าประเพณีไทยบุญบั้งไฟกับ<b><u>กี่เพ้า</u></b>มันเกี่ยวกันยังไงทำไมผู้เขียนโยงมาใส่กันได้ นั่นเป็นเพราะผู้เขียนคิดถึงบ้านคิดถึงอีสาน คิดถึงบุญบั้งไฟปีกะนู้น คิดฮอดต้มอึ่ง..แล้วพอมาได้ยินเพลงประกอบละคร<b> กี่เพ้า</b>ที่ว่า ..<br />
<br />
<b><span style="color: red;">"อึ่งเพ้า..นี้มีความลับใช่ไหม อึ่งเพ้า...เหมือนใจดวงนี้ใช่ไหม สิ่งที่หัวใจเธอปิดเอาไว้ ไม่รู้ดีหรือร้าย"</span></b><br />
<br />
นึกฮาๆเลยมาเขียนบทความซะหน่อยติดตามอ่านกันได้เลยจ้า<br />
<br />
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-4RmbBOzHW34/UMna_HWABXI/AAAAAAAAAf8/0qQSk78Ph4g/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="350" src="http://4.bp.blogspot.com/-4RmbBOzHW34/UMna_HWABXI/AAAAAAAAAf8/0qQSk78Ph4g/s640/%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%B2.jpg" width="520" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b>อึ่งเพ้า vs กี่เพ้า</b></td></tr>
</tbody></table>
<br />
คนไทยอีสาน พื้นเพก็อาศัยอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยซึ่งถือว่าเป็นแดนดินที่แห้งแล้งและก็ทำนาเป็นอาชีพหลักซึ่งไม่สมดุลกันเลยกับอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งก็เป็นแบบนี้มาช้านานเลยได้เกิดเป็นประเพณีของทุกๆปีเช่นประเพณีบุญบั้งไฟเป็นต้น ซึ่งมีประเพณีที่เกี่ยวกับข้าวกับน้ำของคนอีสานอีมามากมายซึ่งมีรายละเอียดอีกเยอะ<br />
<br />
<b>"ขึ้นกะเอาลงตมบั้งไฟบ่ขึ้นกะเอาลงตม"</b> ประเพณีที่สร้างความสนุกสนานในการจุดบั้งไฟขึ้นฟ้าเพื่อขอฝนกับองค์พญาแถน <b>"บั้งไฟตอกดากให้ฝนตกลงมา"</b> และก็ประจบสบเหมาะกับหน้าฝนพอดีกับประเพณีในการบรวงสรวงบูชาองค์พญาแถน ฝนเดือน5ฟ้าเดือนหก ถ้าไม่ตกหนักในเดือนที่กล่าวมาแสดงว่าเกิดอาเพศอย่างแน่นอน<br />
<br />
หลังจากฝนเดือน 5 ตกลงมาก็จะมีอาหารเกิดขึ้นมาอีกมากมายพืชผักผลไม้ ยอดไม้ยอดหญ้าอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านก็จับอึ่งจับกบเขียดกันสนุกสนาน เป็นสัญญาณเข้าสู่ฤดูหว่านไถ ปลูกกล้าดำนา จะว่าไปแล้วผู้เขียนก็เป็นคนอีสานที่หลงไหลในประเพณีวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตของคนอีสาน ที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำใจรวมไปถึงประเพณีวัฒนธรรม<br />
<br />
บทความนี้ผู้เขียนมีกะจิตกะใจที่จะเขียนหลังจากดูละครทีวีช่องไหนก็จำไม่ได้ เป้นเรื่องราวของกี่เพ้าที่แอน ทองประสมแสดง ก็เป็นครั้งแรกที่ดู ก็เลยฉุกคิดถึง<b><u>อึ่งเพ้า</u> </b>หน้าฝนไข่เต็มท้องนี่ล่ะ เอามาต้มส้มใส่ใบมะขามนี่ล่ะ แซ่บขนาด เข้ากันยังกะปี่กับขลุ่ย ว่ามาแล้วก็น้ำลายไหล เดือน12นี้ หากินอ่อมปูอ่อมหอยตามฤดูดีกว่าเนาะคืิอสิมันคักแหน่...................<br />
<br />
<br />ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comจ.บุรีรัมย์ ประเทศไทย14.8474389 102.98961513.865210900000001 101.7261875 15.8296669 104.2530425tag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-9619188179860206112012-12-13T16:42:00.002+07:002012-12-13T20:51:41.516+07:00ประเพณีไทยเทศน์คาถาพัน 13-14 ธันวาคม 2555 ณ.ศาลหลักเมือง ลำปาง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-ID2GEW-6IrE/UMmdjKukkKI/AAAAAAAAAfs/Q3K7tvKZ_44/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-ID2GEW-6IrE/UMmdjKukkKI/AAAAAAAAAfs/Q3K7tvKZ_44/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
ประชาสัมพันธ์ ขอเชิญพี่น้องชาวจังหวัดลำปางมาร่วมเป็นเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์ งานประเพณีไทยเทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อันก่าแก่โบราณ และเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศที่ศรัทธาในพุทธศาสนาเข้าร่วม โครงการตั้งธรรมหลวงเวียงละกอน หรือเทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ<br />
<b><br />"วันที่ 13-14 ธันวาคม 2555 ณ บริเวณศาลหลักเมือง จังหวัดลำปาง "</b></div>
<br />
<b>สถานที่จัดงาน : </b>งานนี้จัดขึ้นในวันที่ 13-14 ธันวาคม 2555 ณ บริเวณศาลหลักเมือง ลานประดิษฐานพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ (หลวงพ่อดำ) อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง สำหรับพระธรรมคัมภีร์ที่นำมาเทศน์ ในงานตั้งธรรมหลวงเทศน์มหาชาติครั้งนี้ มีทั้งหมด 13 กัณฑ์ 1,000 คาถาจึงเรียกเป็นสำนวนชาวบ้านว่า<b> "เทศน์คาถาพัน" </b><br />
<br />
ประเพณีการเทศน์มหาชาติของราษฎรนั้นปกติจะมีระหว่างเดือน 12 กับเดือนอ้าย (ตามปฏิทินจันทรคติ) อุบาสกอุบาสิกามักรับเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์คนละ 1 กัณฑ์ ผู้ใดรับเป็นเจ้าของกัณฑ์ใด ก็จัดเครื่องบูชาและเมื่อถึงเวลาเทศน์กัณฑ์นั้นก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ<br />
<br />
เจ้าของกัณฑ์มักจะประกวดกันในการจัดเครื่องบูชาดอกไม้ธูปเทียนสำหรับถวายพระนั้น จัดเป็นชุดตามจำนวนพระคาถาในกัณฑ์ที่เป็นเจ้าของ เทศน์มหาชาติเป็นการบำเพ็ญกุศลที่ครึกครื้นในรอบปี ส่วนสถานที่ที่จะมีการเทศน์ชาวบ้านจะช่วยกันตกแต่งประดับประดาด้วยต้นกล้วยต้นอ้อยให้ดูเป็นป่าสมมติ เหมือนกับว่าเป็นนิโครธาราม สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทานเทศนาเรื่องมหาเวสสันดรชาดก นอกจากนั้นก็ประดับประดาด้วยราชวัตรฉัตรธงอีกด้วย เวลาค่ำก็ตามประทีปโคมไฟ ส่วนน้ำที่ตั้งในบริเวณปริมณฑลที่มีการเทศน์มหาชาติ ถือกันว่าเป็นน้ำมนต์ปัดเสนียดจัญไร<br />
<br />
สำหรับในปี 2555 นี้ ทางจังหวัดลำปาง ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดลำปาง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ ห้องเรียนวัดบุญวาทย์วิหาร และคณะศรัทธาประชาชน ได้จัดตั้งโครงการตั้งธรรมหลวงเวียงละกอน<b> (เทศน์มหาชาติ) </b>เฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดลำปาง ครั้งที่ 10 ประจำปี 2555 ขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าได้ร่วมกันถวายทาน เป็นพุทธบูชาเพื่อเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 85 พรรษา และเพื่ออนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีให้ชาวพุทธมีโอกาสบำเพ็ญบุญกุศลรับฟังการเทศน์มหาชาติ ตามคตินิยมความเชื่อที่มีมาแต่โบราณที่ว่า<br />
<br />
<b> "บุคคลใดที่ตั้งใจฟังธรรมมหาชาติจนจบ 13 กัณฑ์ ภายในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ผู้นั้นจะวุฒิจำเริญด้วยสมบัตินานาประการในปัจจุบัน และจะได้เกิดร่วมศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย ในอนาคต"</b><br />
<br />
ซึ่ง<b>พระศรีอาริยเมตไตรย</b>ทรงตรัสว่า พระองค์จะเสด็จมาอุบัติเมื่อสิ้นพุทธกาลคือ พ.ศ.5000 อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างความสมานสามัคคีของคนในชุมชน ให้รู้จักการทำงานเป็นหมู่คณะ รู้จักแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกัน ตลอดจนเพื่อเป็นการรักษา อนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมล้านนาและภูมิปัญญาของบรรพชนให้เป็นแบบอย่างแก่ อนุชนรุ่นหลังไว้สืบต่อไปส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comอ.เมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ประเทศไทย18.2919444 99.504444418.0513564 99.1885874 18.532532399999997 99.820301399999991tag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-33330452770281013822012-12-13T16:21:00.000+07:002012-12-13T16:21:33.089+07:00ประเพณีไทยเดือนสิบสอง เทศน์มหาชาติ<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-ID2GEW-6IrE/UMmdjKukkKI/AAAAAAAAAfs/Q3K7tvKZ_44/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-ID2GEW-6IrE/UMmdjKukkKI/AAAAAAAAAfs/Q3K7tvKZ_44/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg" /></a></div>
<br />
ตาม<b>ประเพณีไทย</b>ทีสืบต่อกันมายาวนานมาแต่โบราณกาล งานเอาบุญหรืองานบุญเทศมหาชาติจะมีขึ้นในเดือนสิบสอง การเทศน์มหาชาติของล้านนานั้นปรากฏในรูปของประเพณี คือ ประเพณีตั้งธรรมและประเพณีตั้งธรรมหลวง <br />
<br />
สำหรับประเพณีตั้งธรรม หมายถึง การเทศน์เรื่องทั่วไป พระนักเทศน์อาจจะเทศน์เรื่องชาดกทั้งในนิบาตและนอกนิบาตตามแต่โอกาสของงาน เช่น การเทศน์เรื่องพระมาลัยทรงโปรด อาจจะใช้เทศน์ทั้งงานแต่งงานและงานศพ การเทศน์เรื่องพรหมจักร หรมานและลังกาสิบโหอาจจะใช้ในงานขึ้นปีใหม่ รวมทั้งการเทศน์มหาชาติตามประเพณีต่างๆ เช่น วันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ และในพิธีสืบชะตา การเทศน์เรื่องมหาชาติในล้านนานับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวล้านนา เพราะเรื่องมหาชาตินั้นได้ผนวกเข้าไปกับประเพณีตั้งธรรมหลวงอีกด้วยส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-1783020932404533792.post-9667403379629557532012-12-06T11:12:00.000+07:002012-12-06T11:12:57.312+07:00ประเพณีไทยภาคอีสานและเอกลักษณ์ทางประเพณีวัฒนธรรมที่โดดเด่น <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-kmddIlCjJvw/UMAaoF2JdSI/AAAAAAAAAfM/e7NZncRoUa8/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-kmddIlCjJvw/UMAaoF2JdSI/AAAAAAAAAfM/e7NZncRoUa8/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99.jpg" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
ภาคอีสานมีเอกลักษณ์ทางประเพณีวัฒนธรรมที่โดดเด่น เช่น อาหาร ภาษา ดนตรีหมอลำ และศิลปะการฟ้อนรำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นต้น<br />
<br />
ภาคอีสาน หรือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเขตหรือภาคหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือและตะวันออกของภาค ทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือและภาคกลางการเกษตรนับเป็นอาชีพหลักของภาค<br />
<br />
แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทางด้านสังคมเศรษฐกิจ ทำให้มีผลผลิตที่น้อยกว่าภาคอื่นๆภาษาหลักของภาคนี้ คือ ภาษาอีสาน แต่ภาษาไทยกลางก็นิยมใช้กันแพร่หลายโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีภาษาเขมร ที่ใช้กันมากในบริเวณอีสานใต้ นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นอื่นๆ อีกมาก เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาโส้ ภาษาไทยโคราช เป็นต้น<br />
ส.รวมช่างhttp://www.blogger.com/profile/16363893847793453032noreply@blogger.com2109 อุบลรัตน์ อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น 40250 ประเทศไทย16.7692733 102.570196912.880205799999999 97.516485899999992 20.658340799999998 107.6239079