แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประเพณีไทยอีสาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประเพณีไทยอีสาน แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พิธีกรรมประเพณีไทยมีข้าวเป็นองค์ประกอบ



" ฤาษีจึงขอร้องให้นางโคสกกลับไป นางมีข้อแม้ว่ามนุษย์ต้องปฏิบัติต่อนางอย่างเคารพบูชา นางจึงกลั้นใจตาย กลายเป็นข้าวให้มนุษย์ปลูกต่อไป ดังนั้นมนุษย์เมื่อจะทำการใดเกี่ยวกับข้าว ต้องขอขมา ทำพิธีบายศรีต่อนางเสมอ "นิทานข้าวสำนวนที่ 1 
กล่าวถึงในสมัยของพระยาวิรูปักษ์ ข้าวเกิดขึ้นเองในสวน ต้นข้าวในสมัยนั้นใหญ่กว่ากำปั้นมนุษย์ 7 เท่า เมล็ดข้าวก็ใหญ่กว่ากำปั้นมนุษย์ 5 เท่าเมล็ดข้าวสุกสว่างดั่งเงิน มีกลิ่นหอม เมื่อพระยาวิรูปักษ์ลงมาเกิดในสมัยของพระเจ้ากุกุธสันโธ ก็นำข้าวลงมาด้วย เพื่อหุงให้พระเจ้ากุกุธสันโธฉัน มนุษย์จึงมีข้าวกินแต่บัดนั้น ต่อมาในสมัยพระเจ้าโกนาคม เมล็ดข้าวเล็กลงเพียง 4 เท่า กำปั้นมนุษย์ ในสมัยนั้นมีหญิงหม้ายคนหนึ่งแต่งงาน 7 หน ไม่มีลูก หลาน แกสร้างยุ้งข้าวไว้ ทำให้ข้าวมาเกิดใต้ยุ้งมากมาย แม่หม้ายจึงตีข้าวด้วยไม้ เมล็ดข้าวแตกหัก ปลิวไปตกในที่ต่าง ๆ เกิดเป็นข้าวดอย ตกในน้ำ ข้าวที่ตกในน้ำชื่อว่านางพระโพสพ นางจึงอาศัยร่วมกับปลาในหนองน้ำ ไม่กลับเมืองมนุษย์เพราะโกรธ จึงทำให้มนุษย์อดอยากข้าวไป 1,000 ปี

วันหนึ่งลูกชายเศรษฐีหลงทางเข้าไปในป่าพบปลากั้งซึ่งอยู่กับนางโพสพปลากั้งพาไปไหว้นาง แล้วให้นำนางพระโพสพไปดูแลมนุษย์และศาสนาลูกชายเศรษฐีจึงได้อ้อนวอนให้นางคืนสู่เมืองมนุษย์ เพราะพระพุทธเจ้าจะลงมาบังเกิดอีก นางขัดอ้อนวอนไม่ได้จึงกลับมาโลกอีก นางจึงกลับในสมัยพระกัสสโปและเป็นอาหารของพระพุทธเจ้าและมนุษย์อีก ครั้งนี้เมล็ดข้าวเล็กลงเท่ากำปั้นมนุษย์ ต่อมาสมัยพระเจ้าศรีศากยมุนี เมล็ดข้าวก็เล็กลงอีก แต่ยังมีกลิ่นหอมอยู่ ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 1,000 ปี พระยาคนหนึ่งใจโลภ สั่งให้คนสร้างยุ้งข้าวและเก็บข้าวไว้ภายหลังเพื่อขาย นางพระโพสพโกรธจึงหนีไป ทำให้คนอดตายไปอีก 320 ปี

ต่อมาต่อมาคู่หนึ่งกำลังจะตายเพราะความหิวนางพระโพสพจึงสงสารหันไปจีบปีกและหางของนาง ทำให้เมล็ดข้าวแตกหัก เกิดเป็นข้าวนานาพันธุ์ หลังจากนั้น นางจึงกลั้นใจตาย ร่างกายกลายเป็นหิน ตายายจึงเอาข้าวพันธุ์ต่าง ๆ ไปปลูก เกิดพิธีบูชาผีนา หลังจากตายายตาย มนุษย์จึงต้องถางป่า ใช้ควายไถนาจนปัจจุบัน และหากจะตำข้าวต้องทำพิธีขออนุญาตนางและเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ ก็ต้องทำพิธีสู่ขวัญอีกด้วย 

นิทานข้าวสำนวนที่ 2 
กล่าวถึงนางโคสกเป็นเทวดาและเป็นมเหสีของท้าวสักกะเทวราช ได้มาเกิดเป็นข้าวด้วยความช่วยเหลือของฤาษีตาไฟข้าวมีชีวิตเหมือนคน มีปีกบินไปไหนมาไหนได้เหมือนนก เมล็ดข้าวโตเท่าผลแตงโม ข้าวมีจิตใจ
รัก โกรธ ใครทำดีพลีถูก ข้าวจะบินมาอยู่ในเล้าเอง เมือ่นำข้าวมากิน ไม่ต้องตำ เพียงแต่เอามีดผ่าเอาเมล็ดข้าวสารหุงกินได้ ต่อมามีแม่หม้าย นางสร้างยุ้งข้าวไม่เสร็จแต่ข้าวบินมาอยู่ นางจึงตีข้าวข้าวจึงตกใจหนีไปอยู่ในป่า กลายเป็นเผือก กลอย มนุษย์จึงไม่มีข้าวกินพากันอดตาย สองตายายจึงไปขอความช่วยเหลือจากฤาษีตาไฟ ฤาษีจึงขอร้องให้นางโคสกกลับไป นางมีข้อแม้ว่ามนุษย์ต้องปฏิบัติต่อนางอย่างเคารพบูชา นางจึงกลั้นใจตาย กลายเป็นข้าวให้มนุษย์ปลูกต่อไป "ดังนั้นมนุษย์เมื่อจะทำการใดเกี่ยวกับข้าว ต้องขอขมา ทำพิธีบายศรีต่อนางเสมอ ปฏิบัติต่อนางอย่างดี จึงเริ่มมีพิธีกรรมตั้งแต่บัดนั้น" (จะเห็นว่าพิธีกรรมประเพณีไทยมีข้าวเป็นองค์ประกอบ)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
* “นิทานข้าว สำนวนอีสาน : 1” ใน สุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) (2546). ข้าวปลาหมาเก้าหาง. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทฤษฎีนิเวศวิทยาทางประเพณีวัฒนธรรมของไทย (Cultural Ecology)


ข้าวกับทฤษฎีนิเวศวิทยาทางวัฒนธรรม ทฤษฎีนิเวศวิทยาทางประเพณีวัฒนธรรมของไทย (Cultural Ecology) เป็นทฤษฎีที่มีแนวคิดว่า สิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็เป็นผู้จัดสรรสิ่งแวดล้อมด้วย วัฒนธรรมประเพณีของมนุษย์จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่ สิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย เป็นตัวทำให้พฤติกรรมของมนุษย์หลากหลาย และสิ่งแวดล้อมที่อัตคัต จะทำให้มนุษย์คิดปรับตัวให้อยู่รอดในสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ สิ่งแวดล้อมที่ขาดแคลนจะส่งผลให้มนุษย์ต้องใช้ความคิดมากขึ้น ยิ่งคิดมาก พฤติกรรมย่อมมีมากขึ้นและดีขึ้นเพื่อที่จะเอาชนะธรรมชาติให้ได้

ดังนั้น มนุษย์จึงได้คัดเลือกข้าวป่าชนิดต่าง ๆ ตามความต้องการของตนเพื่อให้สอดคล้องกับระบบนิเวศน์ และจากลักษณะภูมิประเทศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทำให้ปลูกข้าวเหนียวได้ผลผลิตมากที่สุด จึงทำให้ในบริเวณนี้บริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก

ทั้งยังก่อให้เกิดวัฒนธรรมประเพณีไทยอีสานที่เกี่ยวข้องกับข้าวหนียวอีกด้วยนอกจากนี้ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์น่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้บริเวณนี้ต้องเลือกพันธุ์ข้าวเหนียวในการเพาะปลูกและเพื่อบริโภค สอดคล้องกับทฤษฎีทางนิเวศวิทยาวัฒนธรรมที่กล่าวว่าสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็เป็นผู้จัดสรรสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้น มนุษย์ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น ตามชุมชนที่ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ต้องแสวงหาพื้นที่ใหม่ที่สมบูรณ์กว่า เพื่อผลิตข้าวให้ได้มากขึ้น ดังนั้นจึงสอดคล้องกับทฤษฎีนิเวศวิทยาวัฒนธรรมดังที่ได้กล่าวมา

ข้าวกับวิถีชีวิตมนุษย์นั้น ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เนื่องจากมนุษย์ต้องบริโภคอาหาร ข้าวก็เป็นอาหารประเภทหนึ่ง ทั้งยังมีส่วนก่อกำเนิดประเพณีและพิธีกรรม ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ข้าว มนุษย์ ประเพณีไทยและพีธีกรรม

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดี.อี.จี.ฮอลล์. (2549). “ชนชาติเขมรและสมัยพระนคร” ใน ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : สุวรรณภูมิ-อุษาคเนย์
ภาคพิสดาร. กรุงเทพ : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 101.
Ian Mabbette and David Chandler. (1995). “Farmers” in the Khmers. England: Silkworm Books. 148.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีต่อประเพณีวัฒนธรรมไทย


ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีต่อประเพณีวัฒนธรรมไทย
การนำแรงงานเครื่องจักรกลมาแทนแรงงานคนและควาย ทำให้ความสัมพันธ์ทางการผลิตหายไปจากเอามื้อเอาแรงเป็นค่าจ้าง พิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้าวและการทำนาก็เริ่มหายไปเทคโนโลยีจึงเข้ามาแทนที่บทบาทหน้าที่ของพิธีกรรม การสวดมนตร์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือการบวงสรวงบูชาเพื่อขอฝนได้หายไปจากวิถีชีวิต กลายเป็นเทคโนโลยีของการชลประทานแทนที่เป็นต้น

นอกจากนั้น ประเพณีและพิธีกรรมพื้นบ้านที่เกี่ยวกับข้าว ก็กำลังจะหายไปหรือหายไปแล้วหรือเปลี่ยนแปลง เพื่อการคงอยู่ของพิธีกรรมนั้น ๆ เช่น ประเพณีบุญคูนลานในปัจจุบันประเพณีนี้ค่อย ๆ เลือนหายไป เนื่องจากไม่ค่อยมีผู้สนใจประพฤติและปฏิบัติกันประกอบกับในทุกวันนี้ชาวนาไม่มีลานนวดข้าวเหมือนเก่าก่อน เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จและมัดข้าวเป็นฟ่อนๆ แล้ว จะขนมารวมกันไว้ ณ ที่หนึ่งของนา โดยไม่มีลานนวดข้าว

หลังจากนั้นก็ใช้เครื่องสีข้าวมาสีเมล็ดข้าวเปลือกออกจากฟางลงใส่ในกระสอบและในปัจจุบันมีการใช้รถไถนาและเครื่องสีข้าว จึงทำให้ประเพณีคูณลานนี้เลือนหายไปแต่ก็มีหมู่บ้านบางแห่งที่ยังรวมกันทำบุญโดยนำข้าวเปลือกมากองรวมกัน เรียก "บุญกุ้มข้าวใหญ่ หรือ ประเพณีไทยอีสาน บุญประทายข้าวเปลือก แทนการทำบุญคูณลาน ซึ่งนับว่าเป็นการประยุกต์ใช้ "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่"ให้เหมาะกับกาลสมัย

แต่ในปัจจุบันนี้ ก็ได้มีการฟื้นฟูวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่มีความสัมพันธ์อันดีกับธรรมชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตพอเพียงในปัจจุบัน ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของชีวิตนั่นเอง

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 ที่มา: มณีมัย ทองอยู่. (2546). การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจชาวนาอีสาน : กรณีศึกษาลุ่มน้ำพอง. กรุงเทพฯ :
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------