แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประเพณีข้าวไทย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประเพณีข้าวไทย แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พิธีกรรมประเพณีไทยมีข้าวเป็นองค์ประกอบ



" ฤาษีจึงขอร้องให้นางโคสกกลับไป นางมีข้อแม้ว่ามนุษย์ต้องปฏิบัติต่อนางอย่างเคารพบูชา นางจึงกลั้นใจตาย กลายเป็นข้าวให้มนุษย์ปลูกต่อไป ดังนั้นมนุษย์เมื่อจะทำการใดเกี่ยวกับข้าว ต้องขอขมา ทำพิธีบายศรีต่อนางเสมอ "นิทานข้าวสำนวนที่ 1 
กล่าวถึงในสมัยของพระยาวิรูปักษ์ ข้าวเกิดขึ้นเองในสวน ต้นข้าวในสมัยนั้นใหญ่กว่ากำปั้นมนุษย์ 7 เท่า เมล็ดข้าวก็ใหญ่กว่ากำปั้นมนุษย์ 5 เท่าเมล็ดข้าวสุกสว่างดั่งเงิน มีกลิ่นหอม เมื่อพระยาวิรูปักษ์ลงมาเกิดในสมัยของพระเจ้ากุกุธสันโธ ก็นำข้าวลงมาด้วย เพื่อหุงให้พระเจ้ากุกุธสันโธฉัน มนุษย์จึงมีข้าวกินแต่บัดนั้น ต่อมาในสมัยพระเจ้าโกนาคม เมล็ดข้าวเล็กลงเพียง 4 เท่า กำปั้นมนุษย์ ในสมัยนั้นมีหญิงหม้ายคนหนึ่งแต่งงาน 7 หน ไม่มีลูก หลาน แกสร้างยุ้งข้าวไว้ ทำให้ข้าวมาเกิดใต้ยุ้งมากมาย แม่หม้ายจึงตีข้าวด้วยไม้ เมล็ดข้าวแตกหัก ปลิวไปตกในที่ต่าง ๆ เกิดเป็นข้าวดอย ตกในน้ำ ข้าวที่ตกในน้ำชื่อว่านางพระโพสพ นางจึงอาศัยร่วมกับปลาในหนองน้ำ ไม่กลับเมืองมนุษย์เพราะโกรธ จึงทำให้มนุษย์อดอยากข้าวไป 1,000 ปี

วันหนึ่งลูกชายเศรษฐีหลงทางเข้าไปในป่าพบปลากั้งซึ่งอยู่กับนางโพสพปลากั้งพาไปไหว้นาง แล้วให้นำนางพระโพสพไปดูแลมนุษย์และศาสนาลูกชายเศรษฐีจึงได้อ้อนวอนให้นางคืนสู่เมืองมนุษย์ เพราะพระพุทธเจ้าจะลงมาบังเกิดอีก นางขัดอ้อนวอนไม่ได้จึงกลับมาโลกอีก นางจึงกลับในสมัยพระกัสสโปและเป็นอาหารของพระพุทธเจ้าและมนุษย์อีก ครั้งนี้เมล็ดข้าวเล็กลงเท่ากำปั้นมนุษย์ ต่อมาสมัยพระเจ้าศรีศากยมุนี เมล็ดข้าวก็เล็กลงอีก แต่ยังมีกลิ่นหอมอยู่ ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 1,000 ปี พระยาคนหนึ่งใจโลภ สั่งให้คนสร้างยุ้งข้าวและเก็บข้าวไว้ภายหลังเพื่อขาย นางพระโพสพโกรธจึงหนีไป ทำให้คนอดตายไปอีก 320 ปี

ต่อมาต่อมาคู่หนึ่งกำลังจะตายเพราะความหิวนางพระโพสพจึงสงสารหันไปจีบปีกและหางของนาง ทำให้เมล็ดข้าวแตกหัก เกิดเป็นข้าวนานาพันธุ์ หลังจากนั้น นางจึงกลั้นใจตาย ร่างกายกลายเป็นหิน ตายายจึงเอาข้าวพันธุ์ต่าง ๆ ไปปลูก เกิดพิธีบูชาผีนา หลังจากตายายตาย มนุษย์จึงต้องถางป่า ใช้ควายไถนาจนปัจจุบัน และหากจะตำข้าวต้องทำพิธีขออนุญาตนางและเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ ก็ต้องทำพิธีสู่ขวัญอีกด้วย 

นิทานข้าวสำนวนที่ 2 
กล่าวถึงนางโคสกเป็นเทวดาและเป็นมเหสีของท้าวสักกะเทวราช ได้มาเกิดเป็นข้าวด้วยความช่วยเหลือของฤาษีตาไฟข้าวมีชีวิตเหมือนคน มีปีกบินไปไหนมาไหนได้เหมือนนก เมล็ดข้าวโตเท่าผลแตงโม ข้าวมีจิตใจ
รัก โกรธ ใครทำดีพลีถูก ข้าวจะบินมาอยู่ในเล้าเอง เมือ่นำข้าวมากิน ไม่ต้องตำ เพียงแต่เอามีดผ่าเอาเมล็ดข้าวสารหุงกินได้ ต่อมามีแม่หม้าย นางสร้างยุ้งข้าวไม่เสร็จแต่ข้าวบินมาอยู่ นางจึงตีข้าวข้าวจึงตกใจหนีไปอยู่ในป่า กลายเป็นเผือก กลอย มนุษย์จึงไม่มีข้าวกินพากันอดตาย สองตายายจึงไปขอความช่วยเหลือจากฤาษีตาไฟ ฤาษีจึงขอร้องให้นางโคสกกลับไป นางมีข้อแม้ว่ามนุษย์ต้องปฏิบัติต่อนางอย่างเคารพบูชา นางจึงกลั้นใจตาย กลายเป็นข้าวให้มนุษย์ปลูกต่อไป "ดังนั้นมนุษย์เมื่อจะทำการใดเกี่ยวกับข้าว ต้องขอขมา ทำพิธีบายศรีต่อนางเสมอ ปฏิบัติต่อนางอย่างดี จึงเริ่มมีพิธีกรรมตั้งแต่บัดนั้น" (จะเห็นว่าพิธีกรรมประเพณีไทยมีข้าวเป็นองค์ประกอบ)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
* “นิทานข้าว สำนวนอีสาน : 1” ใน สุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) (2546). ข้าวปลาหมาเก้าหาง. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วิถีชีวิตและประเพณีวัฒนธรรมของชาวไทยอีสาน


วิถีชีวิตและประเพณีวัฒนธรรมของชาวไทยอีสาน มีรากฐานมาจากความเชื่อของศาสนาพุทธที่ปรับให้เข้ากับจารีตพื้นบ้านและยังให้ความนับถือกับผีที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนในบริเวณนี้ชาวอีสานผู้ยึดมั่นอยู่ในจารีตประเพณีที่เรียกว่า “ฮีตบ้านคองเมือง”หรือ “ฮีตสิบสองคองสิบสี่” ที่มุ่งให้ผู้คนช่วยเหลือเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ร่วมกันทำกิจกรรมให้กับสังคมและหมู่บ้านของตน ฮีตสิบสองคองสิบสี่เป็นประเพณีที่สำคัญในรอบ 12 เดือน มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอาชีพเกษตรกรรมทำนาและปากท้องของชุมชนเป็นส่วนใหญ่ยกตัวอย่าง เช่น ประเพณีไทยเดือนยี่ทำบุณคูนลาน หรือบางครั้งเรียกว่า ทำบุญกองข้าว การทำบุญคูนลาน เป็นช่วงเวลาหลังจากที่ชาวบ้านเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วชาวนาจะนำเฉพาะข้าวเปลือกล้วน ๆ ไปสู่ลาน ทำเป็นกองเหมือนจอมปลวก ทำพิธีบวงสรวงแม่โพสพเลี้ยงพระภูมิเจ้าที่ สู่ขวัญข้าว และนิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์และถวายอาหารเป็นอันเสร็จพิธี 

การที่สังคมเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนส่งผลให้ประเพณี พิธีกรรม การดำรงชีวิตไนแต่ละภูมิภาคได้เปลี่ยนไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเดิมที่ว่า สิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยน พฤติกรรมของมนุษย์จึงเปลี่ยนตามไปด้วยโดยมีปัจจัยทั้งจากภายในและภายนอกที่ทำให้พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเปลี่ยนดังนี้

การขยายตัวของทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ และโคราช ในปี พ.ศ. 2443 ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตของชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากการปลูกข้าวเพื่อบริโภคเป็นปลูกเพื่อขาย เมื่อการขนส่งคมนาคมสะดวกขึ้น ได้ทำให้การขนส่งข้าวไปยังกรุงเทพฯสะดวกขึ้น ได้กระตุ้นให้ชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือบุกเบิกหาที่ดินใหม่ๆ และจัดสรรที่ดินบางส่วนเพื่อปลูกข้าวเจ้าเพื่อส่งไปขายนอกเหนือจากการปลูกข้าวเหนียวเพื่อบริโภคในครัวเรือน นอกจากนั้น การขยายตัวของทางรถไฟนี้ได้ทำให้อีสานมีความใกล้ชิดกับกรุงเทพฯ มากขึ้น พ่อค้าจีนได้เข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้ชได้แนะนำสินค้าใหม่ ๆ แก่ชาวนา นอกจากนั้น ประชาชนต้องใช้เงินเพื่อชำระภาษีสิ่งเหล่านี้คือเงื่อนไขที่จูงใจให้ชาวนาผลิตข้าวเพื่อขาย

ดังนั้น เพื่อการปรับตัวให้เข้ากับสภาพทางเศรษฐกิจ ชาวนาจึงจำเป็นต้องปลูกข้าวเจ้าเพื่อขายและยังรักษาการปลูกข้าวเหนียวไว้เพื่อบริโภค เนื่องจากรายได้ที่ไม่มั่นคง แต่เมื่อยังมีข้าวไว้ในยุ้งเพื่อไว้กินชาวนายังอุ่นใจเนื่องจากข้าวมีค่าเท่ากับเงิน และสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่น ๆ ในหมู่บ้านได้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อัครพงษ์ คำคูณ (2551). ฮีตสิบสอง : เอกสารวิชาการ โครงการตลาดวิชา มหาวิทยาลัยชาวบ้าน 5/2551. กรุงเทพฯ :
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีต่อประเพณีวัฒนธรรมไทย


ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีต่อประเพณีวัฒนธรรมไทย
การนำแรงงานเครื่องจักรกลมาแทนแรงงานคนและควาย ทำให้ความสัมพันธ์ทางการผลิตหายไปจากเอามื้อเอาแรงเป็นค่าจ้าง พิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้าวและการทำนาก็เริ่มหายไปเทคโนโลยีจึงเข้ามาแทนที่บทบาทหน้าที่ของพิธีกรรม การสวดมนตร์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือการบวงสรวงบูชาเพื่อขอฝนได้หายไปจากวิถีชีวิต กลายเป็นเทคโนโลยีของการชลประทานแทนที่เป็นต้น

นอกจากนั้น ประเพณีและพิธีกรรมพื้นบ้านที่เกี่ยวกับข้าว ก็กำลังจะหายไปหรือหายไปแล้วหรือเปลี่ยนแปลง เพื่อการคงอยู่ของพิธีกรรมนั้น ๆ เช่น ประเพณีบุญคูนลานในปัจจุบันประเพณีนี้ค่อย ๆ เลือนหายไป เนื่องจากไม่ค่อยมีผู้สนใจประพฤติและปฏิบัติกันประกอบกับในทุกวันนี้ชาวนาไม่มีลานนวดข้าวเหมือนเก่าก่อน เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จและมัดข้าวเป็นฟ่อนๆ แล้ว จะขนมารวมกันไว้ ณ ที่หนึ่งของนา โดยไม่มีลานนวดข้าว

หลังจากนั้นก็ใช้เครื่องสีข้าวมาสีเมล็ดข้าวเปลือกออกจากฟางลงใส่ในกระสอบและในปัจจุบันมีการใช้รถไถนาและเครื่องสีข้าว จึงทำให้ประเพณีคูณลานนี้เลือนหายไปแต่ก็มีหมู่บ้านบางแห่งที่ยังรวมกันทำบุญโดยนำข้าวเปลือกมากองรวมกัน เรียก "บุญกุ้มข้าวใหญ่ หรือ ประเพณีไทยอีสาน บุญประทายข้าวเปลือก แทนการทำบุญคูณลาน ซึ่งนับว่าเป็นการประยุกต์ใช้ "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่"ให้เหมาะกับกาลสมัย

แต่ในปัจจุบันนี้ ก็ได้มีการฟื้นฟูวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่มีความสัมพันธ์อันดีกับธรรมชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตพอเพียงในปัจจุบัน ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของชีวิตนั่นเอง

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 ที่มา: มณีมัย ทองอยู่. (2546). การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจชาวนาอีสาน : กรณีศึกษาลุ่มน้ำพอง. กรุงเทพฯ :
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มนุษย์ไทย เมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว กิน “ข้าวเหนียว”




ตามรอยข้าวไทยยุคที่ประเพณีไทยเฟื่องฟูมากเกี่ยวกับการตอบแทนคุณข้าวคุณน้ำ เมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว เราจะมารีวิวเกี่ยวกับข้าวกันก่อน เราๆเองจะได้เข้าใจอย่าถ่องแท้ยิ่งๆขึ้นก่อนจะรีวิวถึงประเพณีไทยอิสานมีที่มาที่ไปที่สนุกสนานพร้อมเรื่องเล่ามากมาย ขอเกริ่นก่อนเด้อ

พันธุ์ข้าวยุคแรก ๆ ที่มาจากป่านั้น มีเมล็ดลักษณะอ้วนป้อม จัดอยู่ในตระกูลข้าวเหนียวจากหลักฐานที่พบ เช่น ชุมชนบ้านเชียงอุดรธานี ได้พบเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสี มีแกลบหรือเปลือกข้าวเป็นส่วนผสม สอดคล้องกับผลวิจัยของชาวญี่ปุ่นชื่อ Tayada Watabe ที่พบว่าอิฐจากโบราณสถานในภาคต่าง ๆ ของไทยมีแกลบของข้าวชนิดต่าง ๆ ปน ได้แก่ ข้าวเมล็ดป้อม ข้าวเมล็ดใหญ่ และข้าวเมล็ดเรียว

รวมทั้งผลจากการวิจัยของ ศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 มีข้าวเมล็ดป้อมมาก รองลงมาได้แก่ข้าวเมล็ดใหญ่ ข้าวเมล็ดเรียวก็พบบ้าง พบมากที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-20 ก็ยังพบข้าวเมล็ดป้อมอยู่

ข้าวเมล็ดใหญ่พบน้อยลง แต่ข้าวเมล็ดเรียวกลับพบมากขึ้น จากผลงานวิจัยนี้ จึงสันนิษฐานว่า ข้าวเมล็ดป้อมนี้ น่าจะได้แก่ “ข้าวเหนียว” ที่งอกงามในที่ลุ่ม ส่วนข้าวเมล็ดใหญ่ก็น่าจะเป็นข้าวเหนียวที่งอกงามในที่สูง ส่วนข้าวเมล็ดเรียวน่าจะเป็นข้าวเจ้า ดังนั้น บทสรุปของการวิจัยของอาจารย์ชิน อยู่ดี จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า มนุษย์เมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว กิน “ข้าวเหนียว” (เมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่)

ร่องรอยข้าวในประเพณีของภาคตะวันออกเฉียงเหนือไทย


ข้าวกับประเพณีไทย

ตามรอยประเพณีไทยตามรอยข้าว เราจะมาตามรอยประเพณีเก่าแก่ของคนไทยจากข้าวปลาอาหารกันว่า มีกี่อย่างและมีประเพณีอะไรบ้าง ร่องรอยข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ข้าวถือได้ว่าเป็นอาหารหลักของผู้คนในประเทศกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมานานแล้ว

โดยเฉพาะในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย หลักฐานที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคน กับ ข้าว ได้แก่ รอยแกลบข้าวในภาชนะดินเผา พบที่แหล่งโบราณคดีโนนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น และภาพเขียนสีที่ผาหมอนน้อย บ้านตากุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แสดงรูปคนและสัตว์อยู่ในวงล้อมของภาพลายเส้นเป็นกลุ่มๆ คล้ายต้นข้าว แสดงให้เห็นว่า

ข้าวเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนในบริเวณนี้มานานแล้ว จึงเป็นที่น่าสนใจว่าผู้คนในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี้ เริ่มบริโภคข้าวเหนียวตั้งแต่เมื่อใด และปัจจัยใดที่ทำให้ดินแดนนี้บริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก แทนที่จะเป็นข้าวเจ้า หลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงถึงความเก่าแก่ของข้าวนั้น พบที่บ้านโนนนกทา จังหวัดขอนแก่น และที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี

ที่มา:

1. ชาร์ลส ไฮแอม อธิบายไว้ว่า ราว 8,000 ปี ดูใน ชาร์ลส ไฮแอม และ รัชนี ทศรัตน์. (2542). สยามดึกดำบรรพ์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ : ริเวอร์บุ๊คส์. 73.

2. อาจารย์ ศรีศักร วัลลิโภดม เรียกการปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยนี้ว่า ฟลัด ไรซ์ (Flooded rice) ซึ่งเป็นการปลูกโดยหว่านลงไปในที่ลุ่มน้ำท่วมถึง ปล่อยให้เติบโตเองจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว เป็นการปลูกแบบง่าย ๆ ลงบนพื้นที่ลุ่มชื้นแฉะใกล้กับชุมชนที่อยู่อาศัย จาก ศรีศักร วัลลิโภดม. (2533). แอ่งอารยธรรมอีสาน แฉหลักฐานโบราณคดี พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทย. กรุงเทพ : มติชน. 105.



ตามรอยประเพณีไทยตามรอยข้าว จะเห็นว่ามีประเพณีที่เกี่ยวกับข้าวปลาอาหารมากมายที่เกี่ยวพันกับชีวิตของคนไทยมากมาย ตามกันมาเลยจ้า





วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Evidence of Rice in North-Eastern Thailand (ประเพณีข้าวของไทย)



Rice has been the main source of food for the people in the Greater Mekong Subregion (GMS)since a long time ago. Some of the evidences showing the relationship between rice and the inhabitants of the North-East of Thailand are, for example; rice husk found in a pottery at the archaeological site of Non-Nok-Tha, Phuwiang District, Khon-kaen Province; and, rock painting at Pha Mon Noy, Ta Gum Village,Huay Phai Subdistrict, Khong Jeam District, Ubonratchathani Province, which depicts a man aiming his bow at a big deer, behind it were two men and two deer in the middle of a rice field. It is evident that people in this region have been eating rice since a long time ago. Therefore, it is interesting to find out that the evidence of Rice in North-Eastern Thailand is glutinous rice or rice.

Conclusion is Human selects different kinds of wild rice suited to their environment. This conforms to the Cultural Ecology theory and the geographical features of the North-East of Thailand and the evidence of Rice at the archaeological site is presume that it’s glutinous rice and enables the biggest yield of glutinous rice.
As a result, the people of this area mainly consume glutinous rice causing rice-related culture.

Key words: Rice, Glutinous Rice, Archaeology, North-East of Thailand, Cultural Ecology



ประเพณีและวัฒนธรรมเกี่ยวกับข้าวของไทย (Thai Version)

ประเพณีและวัฒนธรรมเกี่ยวกับข้าวของไทย



ร่องรอยข้าวและประเพณีวัฒนธรรมไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

ข้าวเป็นอาหารหลักของผู้คนในประเทศกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมาแต่โบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย หลักฐานต่างๆ ที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคน กับ ข้าว ในบริเวณนี้อย่างชัดเจนเช่น

รอยแกลบข้าวในภาชนะดินเผา ที่พบในแหล่งโบราณคดีโนนนกทาอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ภาพเขียนสีที่ผาหมอนน้อย บ้านตากุ่ม ตำบลห้วยไผ่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แสดงรูปคนกำลังเล็งธนูไปยังกวางขนาดใหญ่เบื้องหลังของกวางมีคนและกวางอีก 2 ตัว อยู่ในวงล้อมของภาพลายเส้นเป็นกลุ่มๆ คล้ายต้นข้าวแสดงให้เห็นว่าข้าวเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของผู้คนในบริเวณนี้ จึงเป็นที่น่าสนใจว่าข้าวที่ปรากฏในหลักฐานเหล่านั้น เป็นข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้า

ผลการศึกษาพบว่ามนุษย์ได้คัดเลือกข้าวป่าชนิดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับระบบนิเวศน์ตามหลักการทฤษฎีนิเวศวิทยาวัฒนธรรม บนพื้นฐานลักษณะภูมิประเทศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือประกอบกับร่องรอยลักษณะของเมล็ดข้าวจากหลักฐานโบราณคดีดังกล่าว

จึงสันนิษฐานได้ค่อนข้างชัดเจนว่า ข้าวดังกล่าวน่าจะเป็นข้าวเหนียวและข้าวเหนียวน่าจะเป็นข้าวที่ให้ผลผลิตมากที่สุดท่ามกลางสภาพภูมิประเทศดังกล่าวจึงทำให้ในบริเณนี้บริโภคข้าวเหนียวเป็นหลักทั้งยังก่อให้เกิดวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวอีกด้วยคำสำคัญ ข้าว ข้าวเหนียว โบราณคดี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นิเวศวิทยาวัฒนธรรม


ประเพณีและวัฒนธรรมเกี่ยวกับข้าวของไทย (English Version )