แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประเพณีไทย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประเพณีไทย แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

คติการบูชา พระลักษมี ประเพณี ความเชื่อจากฮินดูถึงไทย

ประเพณี ความเชื่อจากฮินดูถึงไทย 


ประเพณี ความเชื่อจากฮินดูถึงไทย ต่อจากตอนที่แล้วคือตอน คชลักษมี ๔ กร ประเพณี ความเชื่อ เทพเจ้า จากฮินดูถึงไทย เรื่องราวที่จะนำเสนอต่อไปคือ คติการบูชา พระลักษมี พระนางมีผู้นับถือโดยเฉพาะและมีวิหารที่แยกต่างหากจากเทวาลัยของไวษณพนิกาย ใน Maharashtra & The Chennai Ashta Lakshmi Temple ซึ่งเป็นวิหารที่บูชาเฉพาะเทพีลักษมีเท่านั้น

ซึ่งปรากฏพิธีการบูชาและงานเฉลิมฉลอง ซึ่งแสดงถึงการอ้อนวอน ร้องขอพรจากพระนาง เช่น Deepavali , Varalakshmi Viratham โดยประกอบพิธีในการภาวนา ๙ คืน (Navaratri) แด่พระลักษมีและพระสรัสวตี และอีก ๓ คืนแด่เทพีองค์อื่น ๆ

 ผู้ที่นับถือพระนางมักจะปรารถนาการได้รับการสนับสนุน ความสำเร็จและความสามารถเฉพาะตน หญิงสาวผู้พร่ำสวดมนตรา เพียงต้องการความงามและความเปล่งปลั่งที่ออกมาจากภายใน การสวดมนตราต่อพระนาง เราจะได้เรียนรู้ถึงการเข้าถึงความเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง และทำให้ทุกคนชื่นชอบเราได้ นอกจากนั้นมนตรายังนำโชคลาภและความมีโชคมาสู่ด้วย นอกจากนั้นที่ Sri Ashtalakshmi Temple At Elliot’s beach In Adyar เป็นวิหารที่มีการบูชามหาวิษณุและมหาลักษมี ซึ่งภายในมีการบูชาอัษฏ-ลักษมีด้วย

Sri Ashtalakshmi Temple At Elliot’s beach In Adyar

รวมทั้งที่วิหาร Punnai- nallur ใกล้ ๆ กับ Tanjore ใน The Sthala- puranam กล่าวว่า ก่อนที่จะทำสงครามกับอสูรชื่อ Tanja ของ Tanjore พระศิวะได้กำหนดตำแหน่งของอัษฏ-ลักษมีในทั้งแปดทิศ และหนึ่งในทิศนั้น คือทิศตะวันออก ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ตั้งของวิหารแห่งนี้

แหล่งที่มา: www.Indian_heritage.org/gods/lakshmi.html เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๙ และดูรายละเอียดใน David R. Kinsley. Hindu Goddesses : visions of the divini feminine in the Hindu religious tradition. (London : University of California Press), 1988, p.32-34.

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

คชลักษมี ๔ กร ประเพณี ความเชื่อ เทพเจ้า จากฮินดูถึงไทย



จะว่าไปประเพณีไทยของเราก็ได้รับเอาความเชื่อในส่วนของรูปเคารพจากศาสนาฮินดูมามากเพราะศาสนาฮินดูมีเทพเจ้าเยอะแยะมากมาย ทั้งเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่เราคุ้นหูและไม่คุ้นหู อาจะต่างคนต่างเรียกแต่รูปเคารพเดียวกัน(มีหลายชื่อ)

ต่อจากตอนที่แล้ว ประเพณี ความเชื่อ เทพเจ้า จากฮินดูถึงไทย พระวิษณุ พระลักษมี พระพรหม ครุฑ และนารท 
พระลักษมี เมื่อประทับเคียงข้างพระวิษณุ พระลักษมีจะมีเพียงสองกร ถือดอกบัว แต่ถ้าประทับเดี่ยว จะมี ๔ กร ๒ กรขวาถือดอกบัวและผลไม้ ๒ กรซ้ายจะถือหม้อบรจุเพชรพลอยและถือสังข์

“พระศรี” มี ๒ กร ถือ Srifala (มะตูม ? ) และ ดอกบัว พระนางจะปรากฏพร้อมด้วยบุรุษสองคน และช้าง สองหรือสี่เชือกถือหม้อก้นกลม ? Ghatas [pot drum]

“พระลักษมี” มี ๒ กร ถือสังข์ และดอกบัว ขนาบข้างด้วยวิทยาธร
หากมี ๔ กร ถือ จักร สังข์ ดอกบัว และคทา หรือถือ มะนาว (Mahalunga) ดอกบัว หม้อน้ำ หรือ ดอกบัว ผลทับทิม (Bilva) สังข์ และหม้อน้ำ

๘ กร ถือ ธนู คทา ลูกศร ดอกบัว จักร สังข์ ไม้ตีพริก(มูสละ) และขอสับช้าง
ผิวกายของพระลักษมีมีลักษณะพิเศษคือ มีสีชมพู สีทองและสีขาว หากกายสีชมพูจะหมายถึงนางปรากฏในรูปของพระแม่ เมื่อกายสีทองจะหมายถึงศักติแห่งจักรวาล (The Universal Shakti) และหากกายเป็นสีขาว จะหมายถึงนางเป็นแม่แห่งแผ่นดิน

พระลักษมี จะปรากฏในรูปกายต่าง ๆ มี ๘ ลักษณะ โดยแต่ละรูปแบบจะมอบความร่ำรวยให้แด่ผู้ที่นับถือและศรัทธา  อัษฏ-ลักษมี (Astalakshmi) มีดังนี้

๑.  Adhi Lakshmi [The main goddess] หัวหน้าเทพี

๒. Dhanya Lakshmi [Granary wealth] เทพีแห่งข้าว

๓. Dhairya Lakshmi หรือ Veera Lakshmi [Wealth of courage] เทพีแห่งความกล้าหาญ

๔. Gaja Lakshmi [Elephants, symbols of wealth] เทพีแห่งความร่ำรวย

๕. Santhana Lakshmi [Wealth of progeny] เทพีแห่งการสืบพันธุ์

๖. Vijaya Lakshmi [Wealth of victory] เทพีแห่งชัยชนะ

๗. Dhana Lakshmi [Wealth of knowledge] เทพีแห่งความรอบรู้

๘. Vidhya Lakshmi หรือ Aishwarya Lakshmi [Monetary wealth] เทพีแห่งเงินทอง

ใน  Vaisnava Iconography in the Tamil Country  ได้กล่าวถึงชื่อของอัษฏลักษมี ที่แตกต่างไปคือ มี Saurya Lakshmi , Kirti Lakshmi และ Rajya Lakshmi แทนที่ Adhi Lakshmi , Gaja Lakshmi และ  Santhana Lakshmi

อย่างไรก็ตาม แนวคิดเกี่ยวกับอัษฏลักษมีนี้ ได้ปรากฏขึ้นในพัฒนาการในช่วงหลัง และเป็นตัวแทนแสดงรูปของวิวัฒนาการในลัทธิบูชาพระลักษมี พระนางจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระวิษณุในฐานะชายา ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของนิกายไวษณพนี้

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประเพณีไทยอีสานเอาบุญเดือนสิบสอง



ประเพณีไทยอีสานเอาบุญเดือนสิบสอง ภาคอีสาน เป็นภาคหนึ่งของประเทศไทยที่มีความมั่งคั่งในด้านประเพณีวัฒนธรรม มีวิถีชีวิตที่ผูกติดกับพิธีกรรม เป็นภาคที่มีความอุดมสมบูรณ์ของภาษา ประเพณีวัฒนธรรม ซึ่งจะมีงาน บุญเยอะมาก ใน 1 ปี มีประเพณีพิธีกรรมทุกเดือน เพราะคนอิสานยึด ฮีต 12 ครอง 14 เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งหลายท่านอาจไม่เข้าใจศัพท์ภาษาอีสานเราจะมาอธิบายกันง่ายๆเลย

"ฮีต12" แปลเป็นไทยกลางคือจารีต 12 ข้อ (คนอิสานออกเสียงเป็นฮีตสั้นๆได้ใจความ ) จารีตประเพณี  คือ ระเบียบแบบแผนหรือแนวทางการประพฤติปฏิบัติที่สืบทอดกันมาช้านานและ เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ซึ่งแต่เดิมนั้นกฎหมายก็มีที่มาหรือได้รับแนวทางจากจารีตประเพณีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาอุดช่องว่างของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 4 นั้น ต้องมีสาระสำคัญคือ


  • ต้องเป็นจารีตประเพณีที่เป็นที่ยอมรับและถือปฏิบัติของคนในสังคม
  • จารีตประเพณีนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองหรือศีลธรรมอันดีทั้งหลายของคนในสังคม
  • จารีตประเพณีนั้นต้องเป็นจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ซึ่งความหมายของจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น หมายถึงจารีตประเพณีของประเทศไทย เรานั่นเอง จารีตประเพณีนั้นต้องมีเหตุผลและความเป็นธรรม


"คอง 14" แปลเป็นไทยกลางก็คือครรลองครองธรรม 14 ข้อ(คนอิสานออกเสียงเป็นคองสั้นๆได้ใจความ ) * ครรลอง คือ แนวทางที่เป็นความจริงเป็นหลัก  มีรูปแบบของความจริงนั้น แต่มี หลายลักษณะ  เช่น รูปแบบชีวิต การเกิดแก่ เจ็บตาย ล้วนเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  หรือ มีกรรม ย่อม มีผลแห่งกรรม  อยู่ที่บุคคลจะใช้รูปแบบใด รูปแบบ ดี หรือ เลว อยู่ที่การตัดสินใจของคน  ทุกสิ่งย่อมมีครรลองของตน มีเหตุย่อมมีผล

ส่วนจะมีอะไรบ้างในรายละเอียดยิบย่อย เอาไว้โพสต์หน้าจะใส่รายละเอียดทั้งหมด เพราะจากการที่ได้ติดตามและหาข้อมูลเรื่องนี้มีความคลาดเคลื่อนกันเยอะ บ้างพิมพ์ผิดบ้าง บ้างก็ตี ความหมายไปอีกแนวทางหนึ่งซึ่งไม่สอดคล้องกันนัก

มีผญ๋าว่าไว้
เดือนสิบสองมาแล้วลมวอยหนาวสั่น เดือนนี้หนาวสะบั้นบ่คือแท้แต่หลัง ในเดือนนี้เพิ่นว่าให้ลงทอดพายเฮือ ซ่วงกันบูชา ฝูงนาโค นาคเนาว์ในพื้น ชื่อว่าอุชุพะนาโค เนาว์ ในพื้นแผ่น สิบห้าสกุลบอกไว้บูชาให้ส่งสะการ จงทำให้ทุกบ้านบูชาท่านนาโค แล้วลงโมทนาดอม ชื่นชมกันเล่น กลางเว็นกลางคืนให้ระงมกันขับเสพ จึงสิสุขอยู่สร้างสบายเนื้ออยู่เย็น ทุกข์ทั้งหลาย หลีกเว้นหนีห่างบ่มีพาน ของสามานย์ทั้งปวงบ่ได้มีมาใกล้ ไผผู้ทำตามนี้เจริญขึ้นยิ่งๆ ทุกสิ่งบ่ไฮ้ ทั้งข้าวหมู่ของ กรรมบ่ได้ถึกต้องลำบากในตัว โลดบ่มีมัวหมองอย่างใดพอดี้ มีแต่สุขีล้นครองคน สนุกยิ่ง อดในหลิงป่องนี้เด้อเจ้าแก่ชรา(ที่มา:isangate.com)

เดือนสิบสอง เป็นเดือนส่งท้ายปีเก่าตามคติเดิม มีการทำบุญกองกฐินซึ่งเริ่มตั้งแต่วัน แรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ดถึงกลางเดือนสิบสอง แต่ชาวอีสานครั้งก่อนนิยมเริ่มทำบุญทอดกฐินกัน ตั้งแต่ข้างขึ้นเดือนสิบสอง จึงมักจะเรียกบุญกฐินว่า บุญเดือนสิบสอง สำหรับประชาชนที่อาศัย อยู่ตามริมฝั่งน้ำใหญ่ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี จะมีการจัดส่วงเฮือ (แข่งเรือ) เพื่อระลึกถึงอุสุพญานาค ดังคำกลอนข้างต้น
บางแห่งทำบุญดอกฝ้ายเพื่อใช้ทอเป็นผ้าห่มกันหนาวถวายพระเณร จะมีพลุตะไล จุดด้วย บางแห่งทำบุญโกนจุกลูกสาวซึ่งนิยมทำกันมากในสมัยก่อน



วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประเพณีไทยบุญบั้งไฟเกี่ยวอะไรกับกี่เพ้า

ประเพณีไทยบุญบั้งไฟกับกี่เพ้ามันเกี่ยวกันยังไงทำไมผู้เขียนโยงมาใส่กันได้ นั่นเป็นเพราะผู้เขียนคิดถึงบ้านคิดถึงอีสาน คิดถึงบุญบั้งไฟปีกะนู้น คิดฮอดต้มอึ่ง..แล้วพอมาได้ยินเพลงประกอบละคร กี่เพ้าที่ว่า ..

"อึ่งเพ้า..นี้มีความลับใช่ไหม อึ่งเพ้า...เหมือนใจดวงนี้ใช่ไหม สิ่งที่หัวใจเธอปิดเอาไว้ ไม่รู้ดีหรือร้าย"

นึกฮาๆเลยมาเขียนบทความซะหน่อยติดตามอ่านกันได้เลยจ้า

อึ่งเพ้า vs กี่เพ้า

คนไทยอีสาน พื้นเพก็อาศัยอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยซึ่งถือว่าเป็นแดนดินที่แห้งแล้งและก็ทำนาเป็นอาชีพหลักซึ่งไม่สมดุลกันเลยกับอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งก็เป็นแบบนี้มาช้านานเลยได้เกิดเป็นประเพณีของทุกๆปีเช่นประเพณีบุญบั้งไฟเป็นต้น ซึ่งมีประเพณีที่เกี่ยวกับข้าวกับน้ำของคนอีสานอีมามากมายซึ่งมีรายละเอียดอีกเยอะ

"ขึ้นกะเอาลงตมบั้งไฟบ่ขึ้นกะเอาลงตม" ประเพณีที่สร้างความสนุกสนานในการจุดบั้งไฟขึ้นฟ้าเพื่อขอฝนกับองค์พญาแถน "บั้งไฟตอกดากให้ฝนตกลงมา" และก็ประจบสบเหมาะกับหน้าฝนพอดีกับประเพณีในการบรวงสรวงบูชาองค์พญาแถน ฝนเดือน5ฟ้าเดือนหก ถ้าไม่ตกหนักในเดือนที่กล่าวมาแสดงว่าเกิดอาเพศอย่างแน่นอน

หลังจากฝนเดือน 5 ตกลงมาก็จะมีอาหารเกิดขึ้นมาอีกมากมายพืชผักผลไม้ ยอดไม้ยอดหญ้าอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านก็จับอึ่งจับกบเขียดกันสนุกสนาน เป็นสัญญาณเข้าสู่ฤดูหว่านไถ ปลูกกล้าดำนา จะว่าไปแล้วผู้เขียนก็เป็นคนอีสานที่หลงไหลในประเพณีวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตของคนอีสาน ที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำใจรวมไปถึงประเพณีวัฒนธรรม

บทความนี้ผู้เขียนมีกะจิตกะใจที่จะเขียนหลังจากดูละครทีวีช่องไหนก็จำไม่ได้ เป้นเรื่องราวของกี่เพ้าที่แอน ทองประสมแสดง ก็เป็นครั้งแรกที่ดู ก็เลยฉุกคิดถึงอึ่งเพ้า หน้าฝนไข่เต็มท้องนี่ล่ะ เอามาต้มส้มใส่ใบมะขามนี่ล่ะ แซ่บขนาด เข้ากันยังกะปี่กับขลุ่ย ว่ามาแล้วก็น้ำลายไหล เดือน12นี้ หากินอ่อมปูอ่อมหอยตามฤดูดีกว่าเนาะคืิอสิมันคักแหน่...................


ประเพณีไทยเทศน์คาถาพัน 13-14 ธันวาคม 2555 ณ.ศาลหลักเมือง ลำปาง



ประชาสัมพันธ์ ขอเชิญพี่น้องชาวจังหวัดลำปางมาร่วมเป็นเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์ งานประเพณีไทยเทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อันก่าแก่โบราณ และเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศที่ศรัทธาในพุทธศาสนาเข้าร่วม โครงการตั้งธรรมหลวงเวียงละกอน หรือเทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ

"วันที่ 13-14 ธันวาคม 2555 ณ บริเวณศาลหลักเมือง จังหวัดลำปาง "

สถานที่จัดงาน : งานนี้จัดขึ้นในวันที่ 13-14 ธันวาคม 2555 ณ บริเวณศาลหลักเมือง ลานประดิษฐานพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ (หลวงพ่อดำ) อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง สำหรับพระธรรมคัมภีร์ที่นำมาเทศน์ ในงานตั้งธรรมหลวงเทศน์มหาชาติครั้งนี้ มีทั้งหมด 13 กัณฑ์ 1,000 คาถาจึงเรียกเป็นสำนวนชาวบ้านว่า "เทศน์คาถาพัน" 

ประเพณีการเทศน์มหาชาติของราษฎรนั้นปกติจะมีระหว่างเดือน 12 กับเดือนอ้าย (ตามปฏิทินจันทรคติ) อุบาสกอุบาสิกามักรับเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์คนละ 1 กัณฑ์ ผู้ใดรับเป็นเจ้าของกัณฑ์ใด ก็จัดเครื่องบูชาและเมื่อถึงเวลาเทศน์กัณฑ์นั้นก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ

เจ้าของกัณฑ์มักจะประกวดกันในการจัดเครื่องบูชาดอกไม้ธูปเทียนสำหรับถวายพระนั้น จัดเป็นชุดตามจำนวนพระคาถาในกัณฑ์ที่เป็นเจ้าของ เทศน์มหาชาติเป็นการบำเพ็ญกุศลที่ครึกครื้นในรอบปี ส่วนสถานที่ที่จะมีการเทศน์ชาวบ้านจะช่วยกันตกแต่งประดับประดาด้วยต้นกล้วยต้นอ้อยให้ดูเป็นป่าสมมติ เหมือนกับว่าเป็นนิโครธาราม สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทานเทศนาเรื่องมหาเวสสันดรชาดก นอกจากนั้นก็ประดับประดาด้วยราชวัตรฉัตรธงอีกด้วย เวลาค่ำก็ตามประทีปโคมไฟ ส่วนน้ำที่ตั้งในบริเวณปริมณฑลที่มีการเทศน์มหาชาติ ถือกันว่าเป็นน้ำมนต์ปัดเสนียดจัญไร

สำหรับในปี 2555 นี้ ทางจังหวัดลำปาง ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดลำปาง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ ห้องเรียนวัดบุญวาทย์วิหาร และคณะศรัทธาประชาชน ได้จัดตั้งโครงการตั้งธรรมหลวงเวียงละกอน (เทศน์มหาชาติ) เฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดลำปาง ครั้งที่ 10 ประจำปี 2555 ขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าได้ร่วมกันถวายทาน เป็นพุทธบูชาเพื่อเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 85 พรรษา และเพื่ออนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีให้ชาวพุทธมีโอกาสบำเพ็ญบุญกุศลรับฟังการเทศน์มหาชาติ ตามคตินิยมความเชื่อที่มีมาแต่โบราณที่ว่า

 "บุคคลใดที่ตั้งใจฟังธรรมมหาชาติจนจบ 13 กัณฑ์ ภายในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ผู้นั้นจะวุฒิจำเริญด้วยสมบัตินานาประการในปัจจุบัน และจะได้เกิดร่วมศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย ในอนาคต"

ซึ่งพระศรีอาริยเมตไตรยทรงตรัสว่า พระองค์จะเสด็จมาอุบัติเมื่อสิ้นพุทธกาลคือ พ.ศ.5000 อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างความสมานสามัคคีของคนในชุมชน ให้รู้จักการทำงานเป็นหมู่คณะ รู้จักแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกัน ตลอดจนเพื่อเป็นการรักษา อนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมล้านนาและภูมิปัญญาของบรรพชนให้เป็นแบบอย่างแก่ อนุชนรุ่นหลังไว้สืบต่อไป

ประเพณีไทยเดือนสิบสอง เทศน์มหาชาติ



ตามประเพณีไทยทีสืบต่อกันมายาวนานมาแต่โบราณกาล งานเอาบุญหรืองานบุญเทศมหาชาติจะมีขึ้นในเดือนสิบสอง การเทศน์มหาชาติของล้านนานั้นปรากฏในรูปของประเพณี คือ ประเพณีตั้งธรรมและประเพณีตั้งธรรมหลวง

สำหรับประเพณีตั้งธรรม หมายถึง การเทศน์เรื่องทั่วไป พระนักเทศน์อาจจะเทศน์เรื่องชาดกทั้งในนิบาตและนอกนิบาตตามแต่โอกาสของงาน เช่น การเทศน์เรื่องพระมาลัยทรงโปรด อาจจะใช้เทศน์ทั้งงานแต่งงานและงานศพ การเทศน์เรื่องพรหมจักร หรมานและลังกาสิบโหอาจจะใช้ในงานขึ้นปีใหม่ รวมทั้งการเทศน์มหาชาติตามประเพณีต่างๆ เช่น วันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ และในพิธีสืบชะตา การเทศน์เรื่องมหาชาติในล้านนานับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชาวล้านนา เพราะเรื่องมหาชาตินั้นได้ผนวกเข้าไปกับประเพณีตั้งธรรมหลวงอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประเพณีไทยกับ คำขวัญประจำจังหวัด : อัตลักษณ์ความเป็นท้องถิ่น


ตราประจำจังหวัดบุรีรัมย์

คำขวัญประจำจังหวัดในประเทศไทยทั้ง 76 จังหวัดนั้น ส่วนใหญ่มักจะนำลักษณะโดดเด่นทั้งทางภูมิประเทศ ผู้คน อาหาร ประเพณีวัฒนธรรม มาแต่งเป็นข้อความสั้น ๆ ที่คล้องจองกัน คำขวัญประจำจังหวัด เป็นคำขวัญที่แต่ละจังหวัดในประเทศไทยแต่งขึ้น เพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ ความภาคภูมิใจ และความโดดเด่นที่มีอยู่ในจังหวัดนั้น ๆ

มักเป็นคำคล้องจองสั้น ๆ เพื่อให้จดจำง่าย นอกจากคำขวัญประจำจังหวัดแล้ว ปัจจุบันยังมีการแต่งคำขวัญประจำท้องถิ่นในส่วนย่อยลงไปอีก เช่น คำขวัญประจำอำเภอ คำขวัญประจำเขต (ในกรุงเทพมหานคร) เป็นต้น

คำขวัญประจำจังหวัดแยกตามภาคติตตามโพสต์หน้าจ้า......


ประเพณีไทย “พระพิฆเนศวร์: ความเชื่อและพิธีกรรม”

ประเพณีไทย “พระพิฆเนศวร์: ความเชื่อและพิธีกรรม”


บทคัดย่อ

การศึกษาเรื่อง “พระพิฆเนศวร์: ความเชื่อประเพณีและพิธีกรรม” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
คติความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศวร์ และเพื่อศึกษารูปแบบพิธีกรรมในเทศกาลคเณศจตุรถีของ
พระพิฆเนศวร์ ผลการศึกษาพบว่า

1. คติความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศวร์ในไทยนั้นได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ –ฮินดูของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็ นต้นกา เนิดของความเชื่อและพิธีกรรมคเณศจตุรถีในประเทศไทย พระพิฆเนศวร์มีฐานะเป็นเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คติความเชื่อที่แพร่หลาย

เฉพาะประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลจากพระราชนิยมในรัชกาลที่ 6 คือ ยกย่องพระพิฆเนศวร์เป็นเทพแห่งศิลปวิทยา ซึ่งเป็นการริเริ่มโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ประเทศไทยก็ยังได้รับอิทธิพลจากความเชื่อดั้งเดิมของประเทศอินเดียอยู่ คือการนบั ถือพระพิฆเนศวร์ในฐานะที่พระองค์เป็นเทพแห่งการขจัดอุปสรรค

2. รูปแบบพิธีกรรมในเทศกาลคเณศจตุรถีของพระพิฆเนศวร์ในไทย (วัดเทพมณเฑียร เสาชิงช้ากรุงเทพมหานคร) ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดียโดยปรับให้มีลักษณะเฉพาะของตนเอง โดยมีการนา เอารูปแบบพิธีกรรมของเทศกาลคเณศจตุรถีนี้มาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธแต่มีความเชื่อเดียวกับชาวอินเดียในเรื่องการนับถือเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การประกอบพิธีกรรมไทยไม่ได้ปฏิบัติเหมือนกับอินเดียทุกประการ

เนื่องจากสภาพของสังคมไทยนั้นต่างจากประเทศอินเดีย กล่าวคือ พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นชาวอินเดียเหนือนับถือนิกายสารตะ ต่างจากพราหมณ์ในประเทศอินเดียแคว้นมหาราษฎร์เมืองมุมไบ ที่เป็นต้นการเนิดของเทศกาลคเณศจตุรถีซึ่งนับถือนิกายคณปติยะ และผู้ร่วมพิธีกรรมนั้น

โดยมากเป็นชาวไทยนับถือศาสนาพุทธซึ่งอาจไม่รู้เรื่องของพิธีกรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมากนัก
จึงทา ให้ทางวัดปรับเปลี่ยนรูปแบบบางประการของพิธีกรรมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย เช่นปรับเปลี่ยนจำนวนวัน ปรับเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์ที่สามารถหาได้ในประเทศไทย เป็นต้น เพื่อที่จะให้ทั้งคนไทยและคนอินเดียที่มีความศรัทธาเดียวกันเข้าร่วมพิธีกรรมนี้ได้ โดยไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นคนที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเท่านั้น

เครดิต: นางสาวกีรติกา สินสุวรรณ
ภาพ: อ.เฉลิมชัย  โฆษิตพิพัฒน์

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประเพณีไทยวัฒนธรรมไทย กับดีไซน์ คัลเจอร์


วัฒนธรรมไทย กับดีไซน์ คัลเจอร์
ความเป็นไทย กับดีไซน์ คัลเจอร์
 เมื่อพูดถึง ความเป็นไทยใครหลาย    ๆ คน อาจจินตนาการไปในขอบข่ายทางวัฒนธรรม เช่น การแสดงนาฏศิลป์ไทย ปราสาท วิหาร วัดวาอาราม ลายกนก ผ้าไทย หรือแม้กระทั่ง ภาพในวรรณคดี ที่มีกินรีและหนุมานร่ายรำอย่างอ่อนช้อย ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว ความเป็นไทย”  ในบริบททางสังคมยุคปัจจุบัน  มีความมายกว้างขวางมากกว่าตัวอย่างที่กล่าวมาขั้นต้น
พักเรื่องความเป็นไทยไว้ก่อน...

เปลี่ยนไปคุยเรื่อง "แวดวงสินค้าดีไซน์ขายไอเดีย" กันบ้าง เป็นที่รู้กันว่า เมื่อพูดถึงสินค้าส่งออก หลายประเทศต่างนำ ความเป็นเอกลักษณ์ของชาติของตน มาใช้ต่างส่วนผสม เพื่อปรุงแต่งสินค้าทางวัฒนธรรมของประเทศตน ให้มีกลิ่นอายของความเป็นชาติ แบบที่เห็นแล้วร้องอ๋อ...เพราะรู้ที่มาว่าซื้อมาจากที่ไหน ซึ่งตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือสินค้าจากจ้าวแห่งเทคโนโลยีอย่าง "ญี่ปุ่น" ที่ไม่ว่าจะประดิษฐ์อะไร ขายอะไร ก็ดูจะประสบความสำเร็จ ขายดีขายได้ไปเสียหมด โดยความน่าสนใจอยู่ที่ สินค้าดีไซน์ที่ขายดีส่วนใหญ่ ต่างผะยี่ห้อแจแปนเอาไว้ แบบไม่ต้องอาศัย โลโก้หรือสติ๊กเกอร์ เพราะเขาได้ผสานเอาความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้ ในสินค้าทุกชิ้นทุกแบบ ...ว่าแต่ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ??
 อย่างไรก็ตาม ขออนุญาตนำท่านกลับมาสู่ความเป็นไทย ด้วยการเชิญชวนให้ผู้ชมลองจินตนาการเล่น ๆ ตามสโลแกน คิดเล่นเห็นต่างว่ามีสินค้าขายดีไซน์อะไรบ้าง ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของไทย ขอให้ยกตัวอย่างสิ่งที่เมื่อพูดขึ้นมาแล้ว คนทั้งโลกรู้จัก...

 อืม...ต้มยำกุ้ง” “มวยไทย”.... ถ้าสองอย่างนี้คือคำตอบที่ท่านคิด เราขอเฉลยว่า ผิดเพราะทั้งสองอย่างไม่ใช่ สินค้าขายดีไซน์ในความหมายที่เรากำลังพูดถึง
 ว่าแต่...สินค้าขายดีไซน์ของไทย ทำไมไม่ก้าวไกลสู่สากล??

หนึ่งในความยากของการผลักดันสินค้าดีไซน์ไทยสู่ตลาดโลก เกิดจากปัญหาใหญ่คือ การยึดติดกรอบความเป็นไทยนี่เอง ซึ่งประเด็นนี้ เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ในการนำมาวิพากษ์กันอย่างสนุก และเป็นที่มาของ รายการคิดเล่นเห็นต่างกับคำผกา ตอน วัฒนธรรมไทยกับดีไซน์ คัลเจอร์กับตัวอย่างที่ คำผกานำมาเป็นกรณีศึกษาให้ผู้ที่สนใจ นำไปคิดต่อ เพราะบางที ความคิดเล่น ๆ ของคนกลุ่มเล็ก ๆ อาจนำไปสู่ปลายทางที่ยิ่งใหญ่ กับ หนทางที่สินค้าไทย ๆ จะก้าวไกลสู่ตลาดโลกอย่างแท้จริง

เครดิต. อาจารย์ต่อ แห่งฝ้ายซอคำ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเพณีไทยและขั้นตอนต่างๆของพิธีกรรมการฝังศพ



ขั้นตอนต่างๆ ของประเพณีไทย พิธีกรรมสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อว่าความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตโดยสมบูรณ์แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพจากโลกที่อยู่อาศัย หรือจากสิ่งที่มีชีวิตไปสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยพิธีกรรมเกี่ยวกับการแยกตัวหรือแยกคนตายออกจากความเป็นคนพิธีกรรมนี้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพ

เช่น การปล่อยให้เน่าเปื่อยหรือการเผาและพิธีการรวมตัวของผู้ตายในโลกใหม่หรือในสภาพใหม่กับบทบาทใหม่ ที่แตกต่างไปจากโลกของคนเป็น

ในการทำพิธีนั้นเพื่อให้ถูกใจผีและด้วยความห่วงใยอาลัยญาติพี่น้องจะจัดหาเสื้อหาและข้าวปลาอาหารไปไว้ที่หลุมฝังศพเพื่อผู้ตายจะได้ใช้และกิน ไม่ขาดแคลนอดอยากเพราะคิดว่าผีก็เหมือนคน ต้องใช้สิ่งของ ต้องกินอาหาร

ถ้าผู้ตายเป็นนักรบญาติพี่น้องจะนำอาวุธที่เคยใช้ไปวางไว้ในหลุมฝังศพด้วยการนำของไปวางไว้ข้าง ๆ ศพก็เป็นคติที่นิยมทำกันในหลายประเทศรวมทั้งการฝังคน ฝังข้าทาสลงไปด้วย มนุษย์จึงใช้สีแดงทาสีร่างกายที่เป็นศพ เพราะเป็นสีของเลือด

ดังนั้นผู้คนในสมัยก่อนจึงนำดินเทศ ซึ่งมีความหมายถึง เลือด นำมาโรยบนศพ เพื่อให้ผิวพรรณของศพที่ดูขาวซีด กลับดูเปล่งปลั่งราวกับมีเลือดหล่อเลี้ยงอยู่

ความหมายของความตาย (The Meaning of death) จะปรากฏให้เห็นทั้งเป็นรูปธรรม หรืออาจเป็นนามธรรมซ่อนไว้เบื้องหลังพิธีกรรม (Ritual) ในรูปงานศพ (Funeral) และในแต่ละกลุ่มชนจะถือลัทธิพิธีเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย (Life after Death) เป็นเรื่องทางประเพณีวัฒนธรรม

บทความที่เกี่ยวข้อง: ประเพณีไทยและพิธีกรรมความเชื่อในเชิงนิเวศวิทยาวัฒนธรรม

ประเพณีไทย การฝังศพ สมัยก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ตอนต้น


ประเพณีไทยและคติในเรื่องของการอาบน้ำศพ

คติในเรื่องของการอาบน้ำศพตามประเพณีไทยนั้น กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์เรื่องก่อนประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งกล่าวว่า มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่มนุษย์ที่ยังป่าเถื่อนในปัจจุบันนี้
ชอบเอาอะไรทาตัวเป็นเครื่องป้องกันอันตรายทั่วทุกแห่งในที่ที่มีดินแดง

พวกมนุษย์ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ชอบเอาดินแดงทาตัว เมื่อดึกดำบรรพ์นั้น ด้วยเหตุว่าโลหิตเป็นกำลังของมนุษย์ ถ้าโลหิตตกย่อมหมดกำลังลง ถ้าโลหิตตกไม่หยุดก็เลยตาย

พิจารณาเห็นว่าโลหิตผิดกับน้ำอื่นด้วยสีแดงจึงเชื่อว่าสีแดงอาจทำให้เกิดกำลัง จึงเอาดินแดงทาตัวเหมือนทายาบำรุงกำลัง

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเพณีไทยและพิธีกรรมความเชื่อในเชิงนิเวศวิทยาวัฒนธรรม


เอาฉบับเต็มมาฝาก บทความเรื่องประเพณีไทยตามรอยเมล็ดข้าว มีเนื้อหาทั้งหมดก็หลายหน้าเหมือนกัน ทีแรกก็คิดว่าจะทยอย อัพเดทเป็นตอนๆให้ผู้ที่อยากรู้ที่ไปที่มาถึงงานประเพณีที่เกี่ยวข้องกัน จะว่าไปแล้วประเพณีของคนที่เกี่ยวกับข้าวนั้นก็มีมากมาย เนื่องจากในประเพณีนั้นย่อมมีพิธีกรรมแล้ว ในพิธีกรรมนั้นมีข้าวเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมเสมอ อาจเป้นเพราะว่าคนไทยเรากินข้าวเป็นอาหารหลักเลยผูกพันธ์กับข้าวปลาอาหาร

อ่านบทความประเพณีไทยและพิธีกรรมเชิงนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ฉบับเต็มด้านล่างจ้า


บทคัดย่อ
ร่องรอยข้าวประเพณีไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ข้าวเป็นอาหารหลักของผู้คนในประเทศกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมาแต่โบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย หลักฐานต่างๆ ที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคน กับ ข้าว ในบริเวณนี้อย่างชัดเจน เช่น รอยแกลบข้าวในภาชนะดินเผา ที่พบในแหล่งโบราณคดีโนนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ภาพเขียนสีที่ผาหมอนน้อย บ้านตากุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แสดงรูปคนกำลังเล็งธนูไปยังกวางขนาดใหญ่
เบื้องหลังของกวางมีคนและกวางอีก 2 ตัว อยู่ในวงล้อมของภาพลายเส้นเป็นกลุ่มๆ คล้ายต้นข้าว แสดงให้เห็นว่าข้าวเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของผู้คนในบริเวณนี้ จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ข้าวที่ปรากฏในหลักฐานเหล่านั้น เป็นข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้า
ผลการศึกษาพบว่ามนุษย์ได้คัดเลือกข้าวป่าชนิดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับระบบนิเวศน์ ตามหลักการทฤษฎีนิเวศวิทยาวัฒนธรรม บนพื้นฐานลักษณะภูมิประเทศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับร่องรอยลักษณะของเมล็ดข้าวจากหลักฐานโบราณคดีดังกล่าว จึงสันนิษฐานได้ค่อนข้างชัดเจนว่า ข้าวดังกล่าวน่าจะเป็นข้าวเหนียว และข้าวเหนียวน่าจะเป็นข้าวที่ให้ผลผลิตมากที่สุดท่ามกลางสภาพภูมิประเทศดังกล่าว จึงทำให้ในบริเณนี้บริโภคข้าวเหนียวเป็นหลักทั้งยังก่อให้เกิดวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวอีกด้วย 

คำสำคัญ: ประเพณีไทย,  ประเพณีข้าว, ข้าวเหนียว, โบราณคดี, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, นิเวศวิทยาวัฒนธรรม

ABSTRACT
Evidence of Rice in North-Eastern Thailand
Rice has been the main source of food for the people in the Greater Mekong Subregion (GMS)
since a long time ago. Some of the evidences showing the relationship between rice and the inhabitants of
the North-East of Thailand are, for example; rice husk found in a pottery at the archaeological site of Non-
Nok-Tha, Phuwiang District, Khon-kaen Province; and, rock painting at Pha Mon Noy, Ta Gum Village,
Huay Phai Subdistrict, Khong Jeam District, Ubonratchathani Province, which depicts a man aiming his
bow at a big deer, behind it were two men and two deer in the middle of a rice field. It is evident that
people in this region have been eating rice since a long time ago. Therefore, it is interesting to find out that
the evidence of Rice in North-Eastern Thailand is glutinous rice or rice.

Conclusion is Human selects different kinds of wild rice suited to their environment. This
conforms to the Cultural Ecology theory and the geographical features of the North-East of Thailand and
the evidence of Rice at the archaeological site is presume that it’s glutinous rice and enables the biggest
yield of glutinous rice.
As a result, the people of this area mainly consume glutinous rice causing rice-related culture.
Key words: Rice, Glutinous Rice, Archaeology, North-East of Thailand, Cultural Ecology


ร่องรอยข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

ข้าวถือได้ว่าเป็นอาหารหลักของผู้คนในประเทศกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมานานแล้ว โดยเฉพาะในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย หลักฐานที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคน กับ ข้าว ได้แก่ รอยแกลบข้าวในภาชนะดินเผา พบที่แหล่งโบราณคดีโนนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น และภาพเขียนสีที่ผาหมอนน้อย บ้านตากุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แสดงรูปคนและสัตว์อยู่ในวงล้อมของภาพลายเส้นเป็นกลุ่มๆ คล้ายต้นข้าว แสดงให้เห็นว่าข้าวเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนในบริเวณนี้มานานแล้ว จึงเป็นที่น่าสนใจว่าผู้คนในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี้ เริ่มบริโภคข้าวเหนียวตั้งแต่เมื่อใด และปัจจัยใดที่ทำให้ดินแดนนี้บริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก แทนที่จะเป็นข้าวเจ้า

คนอีสานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกินข้าวเหนียวมานานตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน “ข้าวเหนียว” มีความเป็นมาเก่าแก่ยาวนาน โดยมีรากเหง้าจาก “ข้าวป่า” ราว 7,000 ปีมาแล้ว1 ข้าวป่านั้นขึ้นโดยทั่วไปในธรรมชาติ จนมนุษย์รู้ว่าสามารถนำมาเป็นอาหารได้จึงได้พัฒนามาเป็น “ข้าวปลูก” 2และสืบเนื่องต่อมา ในปรากฏการณ์เช่นนี้ จึงอาจอธิบายได้ว่า มนุษย์ได้คัดเลือกข้าวป่าชนิดต่าง ๆ ตามความต้องการของตน เพื่อให้สอดคล้องกับระบบนิเวศน์ และลักษณะภูมิประเทศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือสอดคล้องกับทฤษฎีทางนิเวศวิทยาวัฒนธรรมที่กล่าวว่า สิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็เป็นผู้จัดสรรสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นเดียวกัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชาร์ลส ไฮแอม อธิบายไว้ว่า ราว 8,000 ปี ดูใน ชาร์ลส ไฮแอม และ รัชนี ทศรัตน์. (2542). สยามดึกดำบรรพ์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ : ริเวอร์บุ๊คส์. 73.
อาจารย์ ศรีศักร วัลลิโภดม เรียกการปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยนี้ว่า ฟลัด ไรซ์ (Floodedrice) ซึ่งเป็นการปลูกโดยหว่านลงไปในที่ลุ่มน้ำท่วมถึง ปล่อยให้เติบโตเองจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว เป็นการปลูกแบบง่าย ๆ
ลงบนพื้นที่ลุ่มชื้นแฉะใกล้กับชุมชนที่อยู่อาศัย จาก ศรีศักร วัลลิโภดม. (2533). แอ่งอารยธรรมอีสาน แฉหลักฐานโบราณคดี
พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทย. กรุงเทพ : มติชน. 105.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้าวและประเพณีไทยจากหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงถึงความเก่าแก่ของข้าวนั้น พบที่บ้านโนนนกทา จังหวัดขอนแก่นและที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี

พันธุ์ข้าวยุคแรก ๆ ที่มาจากป่านั้น มีเมล็ดลักษณะอ้วนป้อม จัดอยู่ในตระกูลข้าวเหนียว จากหลักฐานที่พบ เช่น ชุมชนบ้านเชียง อุดรธานี ได้พบเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสี มีแกลบหรือเปลือกข้าวเป็นส่วนผสม สอดคล้องกับผลวิจัยของชาวญี่ปุ่นชื่อ Tayada Watabe ที่พบว่าอิฐจากโบราณสถานในภาคต่าง ๆ ของไทยมีแกลบของข้าวชนิดต่าง ๆ ปน ได้แก่ ข้าวเมล็ดป้อม ข้าวเมล็ดใหญ่ และข้าวเมล็ดเรียว รวมทั้งผลจากการวิจัยของ ศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 มีข้าวเมล็ดป้อมมาก รองลงมาได้แก่ข้าวเมล็ดใหญ่ ข้าวเมล็ดเรียวก็พบบ้าง พบมากที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-20 ก็ยังพบข้าวเมล็ดป้อมอยู่ ข้าวเมล็ดใหญ่พบน้อยลง แต่ข้าวเมล็ดเรียวกลับพบมากขึ้น จากผลงานวิจัยนี้ จึงสันนิษฐานว่า ข้าวเมล็ดป้อมนี้ น่าจะได้แก่ “ข้าวเหนียว” ที่งอกงามในที่ลุ่ม ส่วนข้าวเมล็ดใหญ่ก็น่าจะเป็นข้าวเหนียวที่งอกงามในที่สูง ส่วนข้าวเมล็ดเรียวน่าจะเป็นข้าวเจ้า ดังนั้น บทสรุปของการวิจัยของอาจารย์ชิน อยู่ดี จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า มนุษย์เมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว กิน “ข้าวเหนียว” (เมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่)

2.1 หลักฐานเอกสาร แบ่งเป็นหลักฐานด้านจารึกและหลักฐานด้านตำนานจารึกเก่าสุดที่ได้กล่าวถึงการทำนาในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี้คือ จารึกวัดโนนสัง (พ.ศ.1432) กล่าวว่าในสมัยแห่งพระเจ้าโสมาทิตยะ ได้ส่งเสริมการทำนาในที่ลุ่ม จึงเป็หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี้ มีการทำนามานานแล้ว นอกจากนั้น ในจารึกอีกหลายๆหลักก็ได้กล่าวถึงการบูชาเทวรูปโดยใช้ข้าวสารด้วย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
2.1.1 หลักฐานด้านจารึก
ก. จารึกโนนสัง (พุทธศักราช 1432) ตำบลบึงแก อำเภอมหาชนะชัยจังหวัดยโสธรปรากฏข้อความในจารึกว่า “พระเจ้าโสมาทิตยะนั้นใด ผู้ใคร่ต่อความรู้แห่งคติของเมืองบรรพบุรุษได้สร้างรูปศิลาตามสัญลักษณ์ของจอมมุนีทั้งปวง เป็นรูปอันเป็นที่พึ่งของโลกทั้งสามเพื่อความหลุดพ้น พระเจ้าโสมาทิตยะพระองค์นั้น ผู้เกิดจากผลที่เขาบูชายัญในพระเจ้าศรีอินทรวรมันในภูมิภาคที่กำหนดไว้ ในสมัยของพระเจ้าแผ่นดินแห่งศักราช 811 พระองค์ได้ส่งเสริมกิจการในนาที่ลุ่ม...”เป็นการแสดงให้เห็นว่าชุมชนโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี้มีการทำนาในที่ลุ่มหรือนาลุ่มมาแล้วไม่น้อยกว่าพุทธศตวรรษที่ 15

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2549). “พลังลาว” ชาวอีสานมาจากไหน? ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ. กรุงเทพ : มติชน.182-191.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข. จารึกสด๊กก๊อกธม 1 (พุทธศักราช 1480)ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครสร้างสันนิษฐานว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 มีพระบรมราชโองการให้วีเรนทรวรมันเป็นผู้สั่งให้เจ้าหน้าที่นำศิลาจารึกหลักนี้มาประดิษฐานไว้ ข้อความในจารึกกล่าวว่าเสตญอาจารย์โขลญสันดับ และเสตญอาจารย์อาจารย์โขลญพนม ซึ่งเป็นผู้ดูแลพระเทวรูปได้แจ้งให้พระบุณย์มรเตญมัทยมศิวะ วาบบรม พรหม และแม่บส ให้ร่วมกันดูแลพระเทวรูปโดยการถวายข้าวสารและน้ำมันตลอดหนึ่งปี
ค. จารึกบ้านพังพวย (พุทธศักราช 1484) พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 เป็นผู้สร้างจารึกด้านที่ 1 กล่าวถึงพระเจ้าราเชนทรวรมันว่า ได้มีบัญชาให้บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในเมืองวนปุระให้ร่วมกันดูแลเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำเทวสถาน โดยถวายน้ำมันและลูกสกา เป็นเวลา 1 ปี ส่วนในเรื่องของที่นาและพืชผลที่มีขึ้นในนานั้น ให้สิทธิแก่บรรดาข้าทาสและลูกทาสส่วนวัวควายไม่ควรขึ้นกับโขลญวิษัย (ผู้ดูแลสถานที่) โขลญข้าว และโขลญเปรียง(ผู้ดูแลน้ำมัน) และอย่าปล่อยให้เข้าไปในที่ดินของเทวรูปศักดิ์สิทธิ์
ประจำเทวสถาน หากชาวบ้านไม่ทำตามคำสั่งให้จับส่งเจ้าหน้าที่ ส่วนด้านที่ 2กล่าวถึงการมีบัญชาให้ร่วมกันดูแลเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง โดยถวายข้าวสาร น้ำมันผลไม้ หอก ผ้า จากจารึกจะเห็นได้ว่าได้มี “โขลญ” ซึ่งหมายถึงผู้ดูแล ดังนั้น โขลญข้าว
สันนิษฐานว่าน่าจะหมายถึงผู้ดูแลข้าวที่ขึ้นในที่นา
ง. จารึกปราสาทเมืองแขก 1 (พุทธศักราช 1517) ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างแต่ระบุศักราช คือ 896 ซึ่งตรงกับ พุทธศักราช 1517 กล่าวถึงพระราชโองการของพระราชาให้สถาปนาเทวรูปคือ กัมรเตงอัญศรีอสมานธฤตจันทรมเหศวร มรเตงอัญศรีอสมานธฤตจันทรสถามะและพระแม่เจ้ากัมรเตงอัญศรีอสมานธฤตจันทรเทวี และหลังจากนั้นยังได้รวมพระกัมรเตงอัญแห่งลิงคปุระไว้ด้วย แล้วให้บรรดาขุนนางและข้าราชบริพาร ร่วมกันดูแลเทวรูปและเทวสถานเหล่านี้โดยกัลปนาข้าทาสและสิ่งของ เช่น ข้าวสาร น้ำมัน ฯลฯ เป็นประจำ
จ. จารึกปราสาทหินพระวิหาร 2 (พุทธศักราช 1664) เป็นจารึกที่สร้างขึ้นในรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ปรากฏข้อความกล่าวถึงการประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2โดยภควัดบาทกัมรเตงอัญดคุรุศรีทิวากรบัญฑิตได้รับเชิญให้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมและถวายทรัพย์ สิ่งของ และทาสแก่เทวสถานแต่ละแห่งเป็นจำนวนมาก สิ่งของที่ได้กล่าวถึงมี ข้าวสารรวมอยู่ด้วย

4 จารึกนี้เป็นหลักฐานที่มีรายละเอียดกล่าวถึงพิธีเผาข้าวเปลือก อาจหมายถึงพิธีธานยเทาะห์ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผู้ปกครองและมีพราหมณ์เป็นผู้ทำพิธี 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูใน มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. (2547). ข้าวขวัญของแผ่นดิน. กรุงเทพฯ : มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์.21.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.1.2 หลักฐานด้านตำนาน : ตำนานแม่โพสพในภาคอีสาน

นิทานข้าวสำนวนที่ 1 
กล่าวถึงในสมัยของพระยาวิรูปักษ์ ข้าวเกิดขึ้นเองในสวน ต้นข้าวในสมัยนั้นใหญ่กว่ากำปั้นมนุษย์ 7 เท่า เมล็ดข้าวก็ใหญ่กว่ากำปั้นมนุษย์ 5 เท่าเมล็ดข้าวสุกสว่างดั่งเงิน มีกลิ่นหอม เมื่อพระยาวิรูปักษ์ลงมาเกิดในสมัยของพระเจ้ากุกุธสันโธ ก็นำข้าวลงมาด้วย เพื่อหุงให้พระเจ้ากุกุธสันโธฉัน มนุษย์จึงมีข้าวกินแต่บัดนั้น ต่อมาในสมัยพระเจ้าโกนาคม เมล็ดข้าวเล็กลงเพียง 4 เท่า กำปั้นมนุษย์ ในสมัยนั้นมีหญิงหม้ายคนหนึ่งแต่งงาน 7 หน ไม่มีลูก หลาน แกสร้างยุ้งข้าวไว้ ทำให้ข้าวมาเกิดใต้ยุ้งมากมาย แม่หม้ายจึงตีข้าวด้วยไม้ เมล็ดข้าวแตกหัก ปลิวไปตกในที่ต่าง ๆ เกิดเป็นข้าวดอย ตกในน้ำ ข้าวที่ตกในน้ำชื่อว่านางพระโพสพ นางจึงอาศัยร่วมกับปลาในหนองน้ำ ไม่กลับเมืองมนุษย์เพราะโกรธ จึงทำให้มนุษย์อดอยากข้าวไป 1,000 ปี

วันหนึ่งลูกชายเศรษฐีหลงทางเข้าไปในป่าพบปลากั้งซึ่งอยู่กับนางโพสพปลากั้งพาไปไหว้นาง แล้วให้นำนางพระโพสพไปดูแลมนุษย์และศาสนาลูกชายเศรษฐีจึงได้อ้อนวอนให้นางคืนสู่เมืองมนุษย์ เพราะพระพุทธเจ้าจะลงมาบังเกิดอีก นางขัดอ้อนวอนไม่ได้จึงกลับมาโลกอีก นางจึงกลับในสมัยพระกัสสโปและเป็นอาหารของพระพุทธเจ้าและมนุษย์อีก ครั้งนี้เมล็ดข้าวเล็กลงเท่ากำปั้นมนุษย์ ต่อมาสมัยพระเจ้าศรีศากยมุนี เมล็ดข้าวก็เล็กลงอีก แต่ยังมีกลิ่นหอมอยู่ ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 1,000 ปี พระยาคนหนึ่งใจโลภ สั่งให้คนสร้างยุ้งข้าวและเก็บข้าวไว้ภายหลังเพื่อขาย นางพระโพสพโกรธจึงหนีไป ทำให้คนอดตายไปอีก 320 ปี

ต่อมาต่อมาคู่หนึ่งกำลังจะตายเพราะความหิวนางพระโพสพจึงสงสารหันไปจีบปีกและหางของนาง ทำให้เมล็ดข้าวแตกหัก เกิดเป็นข้าวนานาพันธุ์ หลังจากนั้น นางจึงกลั้นใจตาย ร่างกายกลายเป็นหิน ตายายจึงเอาข้าวพันธุ์ต่าง ๆ ไปปลูก เกิดพิธีบูชาผีนา หลังจากตายายตาย มนุษย์จึงต้องถางป่า ใช้ควายไถนาจนปัจจุบัน และหากจะตำข้าวต้องทำพิธีขออนุญาตนางและเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ ก็ต้องทำพิธีสู่ขวัญอีกด้วย 

นิทานข้าวสำนวนที่ 2
กล่าวถึงนางโคสกเป็นเทวดาและเป็นมเหสีของท้าวสักกะเทวราช ได้มาเกิดเป็นข้าวด้วยความช่วยเหลือของฤาษีตาไฟข้าวมีชีวิตเหมือนคน มีปีกบินไปไหนมาไหนได้เหมือนนก เมล็ดข้าวโตเท่าผลแตงโม ข้าวมีจิตใจ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
* “นิทานข้าว สำนวนอีสาน : 1” ใน สุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) (2546). ข้าวปลาหมาเก้าหาง. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รัก โกรธ ใครทำดีพลีถูก ข้าวจะบินมาอยู่ในเล้าเอง เมือ่นำข้าวมากิน ไม่ต้องตำ เพียงแต่เอามีดผ่าเอาเมล็ดข้าวสารหุงกินได้ ต่อมามีแม่หม้าย นางสร้างยุ้งข้าวไม่เสร็จแต่ข้าวบินมาอยู่ นางจึงตีข้าวข้าวจึงตกใจหนีไปอยู่ในป่า กลายเป็นเผือก กลอย มนุษย์จึงไม่มีข้าวกินพากันอดตาย สองตายายจึงไปขอความช่วยเหลือจากฤาษีตาไฟ ฤาษีจึงขอร้องให้นางโคสกกลับไป นางมีข้อแม้ว่ามนุษย์ต้องปฏิบัติต่อนางอย่างเคารพบูชา นางจึงกลั้นใจตาย กลายเป็นข้าวให้มนุษย์ปลูกต่อไป "ดังนั้นมนุษย์เมื่อจะทำการใดเกี่ยวกับข้าว ต้องขอขมา ทำพิธีบายศรีต่อนางเสมอ ปฏิบัติต่อนางอย่างดี จึงเริ่มมีพิธีกรรมตั้งแต่บัดนั้น" (จะเห็นว่าพิธีกรรมประเพณีไทยมีข้าวเป็นองค์ประกอบ)

นิทานข้าวสำนวนที่ 3 
ตำนานกล่าวถึงที่อุทยานของพญานาคมีข้าวเกิดขึ้นเอง ต้นหนึ่งๆ มีขนาดเจ็ดกำมือ เมล็ดใหญ่เท่าผลมะพร้าว มีสีเงินยวงกลิ่นหอมหวาน มีหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนยากไร้ ไม่มีมีดพร้าสำหรับผ่าเมล็ดข้าว จึงใช้ไม้คานทุบข้าว เมล็ดข้าวแตกกระจายบางส่วนไปเกิดเป็น ข้าวไร่ หรือ ข้าวดอย บางส่วนตกในน้ำเกิดเป็นข้าวนาหรือแม่โพสพ แม่โพสพน้อยใจที่หญิงม่ายทำรุนแรงจึงหนีไปอยู่เสียในถ้ำ ทำให้มนุษย์ไม่มีข้าวกินถึงพันปี วันหนึ่งลูกชายเศรษฐีหลงทางเข้าไปในป่าพบปลากั้งซึ่งอยู่กับนางโพสพ ปลากั้งพาไปไหว้นาง ลูกชายเศรษฐีจึงได้อ้อนวอนให้นางคืนสู่เมืองมนุษย์ นางขัดอ้อนวอนไม่ได้จึงกลับมาโลกอีก ลูกชายเศรษฐีสำนึกในบุญคุณของนางจึงชักชวนมนุษย์ให้ยกย่องนับถือนาง ต่อมาอีกพันปี มีชายโลภมากผู้หนึ่งสร้างยุ้งฉางเก็บข้าวไว้กินแต่ผู้เดียว
แม่โพสพโกรธจึงหนีกลับไปอยู่ถ้ำในป่าอีกครั้ง ทิ้งให้มนุษย์อดอยากเป็นเวลาหลายร้อยปี เทวดาเล็งเห็นความทุกข์ยากจึงอ้อนวอนให้แม่โพสพกลับคืนมา พร้อมกันนั้นก็สอนให้มนุษย์รู้จักนับถือข้าว"รู้จักทำขวัญข้าวมีประเพณีที่เกี่ยวกับข้าวเกิดขึ้น"
ตำนานแม่โพสพนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของข้าวและพัฒนาการของสังคมมนุษย์จากข้าวป่าที่เกิดขึ้นเองมาเป็นข้าวปลูก
ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงรูปลักษณะของเมล็ดข้าวว่าเดิมเป็นข้าวเมล็ดใหญ่ แต่ในปัจจุบันมีลักษณะเมล็ดเล็กลงและยังได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมของมนุษย์จากสังคมล่าสัตว์มาเป็นสังคมเพาะปลูก รวมถึงประเพณีและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวอีกด้วย

อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าจากตำนานที่ปรากฏ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์รู้จักข้าวและวิธีการปลูกข้าวชนิดต่างๆได้อย่างไร ทำไมข้าวจึงกลายเป็นพืชที่สำคัญอย่างยิ่งต่อมนุษย์และมนุษย์ควรปฎิบัติอย่างไรต่อข้าว หลักฐานโบราณคดีที่แสดงให้เห็นถึงอดีตอันยาวนานของข้าวเหนียว ซึ่งสามารถย้อนไปได้ไกลถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีดังนี้

2.2.1 ภาพเขียนสี ผาหมอนน้อย อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
เป็นภาพเขียนสีแดง ภาพคนกำลังเล็งธนูไปยังกวาง(หรือวัว)ขนาดใหญ่มากตัวหนึ่ง เบื้องหลังของกวาง (หรือวัว?) ยังมีคนและกวางอีก 2 ตัว อยู่ในวงล้อมของภาพลายเส้นเป็นกลุ่ม ๆ คล้ายต้นข้าว8 คนในภาพกำลังไล่สัตว์สี่ขามีเขา สันนิษฐานว่าอาจเป็นกวางที่บุกรุกเข้าไปในนาข้าว ซึ่งรอบๆ ภาพกลุ่มนี้มีภาพมือทางด้านซ้ายและขวาจำนวนมาก ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ รูปคนไล่สัตว์ในนาข้าว ที่ผาหมอนน้อย อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี 9

2.2.2 เมล็ดข้าวสารเผาไฟ ที่เนินอุโลก อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา
แหล่งโบราณคดีเนินอุโลก ตำบลพลสงคราม อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมาพบเมล็ดข้าวสีดำ เนื่องจากถูกเผาไหม้ในแนวหลุมเสา และในหลุมฝังศพ และยังพบเครื่องมือกสิกรรม เช่น มีด เคียว ใบหอกรวมอยู่ด้วย 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
* ชาร์ลส ไฮแอม และ รัชนี ทศรัตน์. (2542). สยามดึกดำบรรพ์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ : ริเวอร์บุ๊คส์.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เมล็ดข้าวสารเผาไฟสีดำนี้ จากลักษณะเมล็ดข้าวที่พบสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นข้าวเหนียวเนื่องจากเป็นเมล็ดข้าวรูปร่างสั้นป้อม
ซึ่งนอกจากจะพบที่แหล่งโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วยังพบจากการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณภาคอื่น ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เช่นพบจากการขุดค้นทางโบราณคดีในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน ที่เมืองขีดขินจังหวัดสระบุรี และการขุดค้นทางโบราณคดีของแหล่งขุดค้นทางโบราณคดี สท.1 (สุโขทัย1) ผลจากการศึกษาแหล่งโบราณคดีทั้ง 3 แหล่ง พบเมล็ดข้าวที่ถูกเผาไฟในชั้นดินที่อยู่อาศัยจากเมล็ดข้าวที่พบในแหล่งโบราณคดีที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น สันนิษฐานว่าน่าเป็นเมล็ดข้าวเหนียวพันธุ์จาปอนิกา เนื่องจากเมล็ดมีรูปร่างสั้นป้อม นอกจากนั้น หลักฐานสำคัญที่พบในแหล่งโบราณคดีเนินอุโลก อำเภอโนนสูง คือ การฝังศพในข้าว คือศพจะถูกฝังในหลุมที่เต็มไปด้วยข้าวที่มีสีขาว เป็นเมล็ดข้าวล้วน ๆ อัดแน่น ไม่มีดินหรือสิ่งอื่น ๆ เจือปน หลักจากที่มีการเตรียมหลุมโดยการใส่เมล็ดข้าวที่ได้จากการนำไปเผาจนเป็นสีขาวลงไปในหลุมเรียบร้อย
แล้วจึงฝังศพลงไป จากนั้นก็กลบหลุมศพด้วยข้าวสีขาวอีกที

2.2.3 รอยแกลบข้าวผสมดินในภาชนะดินเผา ที่โนนนกทา ตำบลบ้านโคก อำเภอภูเวียง
ที่แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ได้พบหลักฐานที่แสดงว่าบรรพบุรุษรุ่นแรกสุดที่โนนนกทาได้มีการบริโภคข้าวกันแล้วโดยพบแกลบข้าวที่ถูกนำมาเป็นส่วนผสมของดินเหนียวในการปั้นภาชนะ นอกจากนั้น คนก่อนประวัติศาสตร์ที่โนนนกทารุ่นแรก (ยุคสัมฤทธิ์) ได้ล่าสัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง เก็บหอย จับปลาจากบริเวณลำห้วย หนองน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ มาเป็นอาหารควบคู่ไปกับการเพาะปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์
2.2.4 รอยแกลบข้าวผสมดินในภาชนะดินเผา ที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
10 โขมสี แสนจิตต์. (2552). เมืองโบราณหริภุญไชย จากหลักฐานโบราณคดี, ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. กรุงเทพฯ.477-480. 11 ชาร์ลส ไฮแอม และ รัชนี ทศรัตน์. (2542). สยามดึกดำบรรพ์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ : ริเวอร์บุ๊คส์.หลักฐานเกี่ยวกับพืชที่ปลูกในแหล่งโบราณคดีแห่งนี้คือ ข้าว และ แกลบข้าว ที่ถูกนำมาเป็นส่วนผสมกับดินเหนียวในการปั้นภาชนะ กำหนดอายุอยู่ในช่วงสมัยสัมฤทธิ์ 13
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้าวเป็นพืชที่นำมาเป็นอาหารเมื่อประมาณ 8,000 ปีมาแล้วมีความเป็นไปได้ว่าบริเวณตอนใต้ของจีน อาจเป็นจุดกำเนิดของการเริ่มเข้าสู่การเกษตรกรรมโดยกลุ่มชนซึ่งอาจจะเป็นบรรพบรุษดั้งเดิมของมอญ เขมร ไทย การเกษตรยุคเริ่มแรก การเปลี่ยนแปลงที่เข้าสู่ระบบเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นผลมาจากการเคลื่อนย้ายของกลุ่มเกษตรกรรุ่นแรกๆ จากที่อื่นหรือเกิดขึ้นเอง ในดินแดนส่วนอื่น ๆของโลกพบหลักฐานการเปลี่ยนแปลงจากกระดูกของสัตว์ป่ามาเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างชัดเจนเช่น ควายป่า วัวป่า เมื่อนำมาเลี้ยงจะมีขนาดเล็กลง ข้าวก็เช่นเดียวกันมีวิวัฒนาการในการเปลี่ยนแปลงจากข้าวป่ามาเป็นข้าวปลูก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น ๆ ด้วย 

ผู้คนบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มกินข้าวเหนียวตั้งแต่เมื่อไรจากหลักฐานทางด้านโบราณคดีดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าผู้คนเริ่มรู้จักและกินข้าวเหนียวมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี ได้กล่าวโดยสรุปว่าคนพื้นเมืองดั้งเดิมของสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ราว 3,000 ปี มาแล้วกินข้าวเหนียว (เมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่) ราวหลัง พ.ศ. 1200 ยุคทวารวดี-ศรีวิชัย ถึงเริ่มกินข้าวเจ้า (เมล็ดเรียว)16 ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สันนิษฐานว่าน่าจะเริ่มกินข้าวเหนียวและปลูกข้าวเหนียวมาตั้งแต่สมัยทวารวดีระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 เป็นข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่ จนถึงราวพุทธศตวรรษที่ 16-19 จึงได้เริ่มปลูกข้าวเจ้าด้วย
ในทางกลับกันในสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศกัมพูชาที่คล้ายคลึงกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศแต่เพราะเหตุใดจึงบริโภคข้าวเจ้า แทนที่จะเป็นข้าวเหนียวอาจเนื่องด้วยเหตุของการนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดีย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2549). “พลังลาว” ชาวอีสานมาจากไหน? ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ. กรุงเทพ : มติชน. 191.
มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. (2547). ข้าว ขวัญของแผ่นดิน. กรุงเทพฯ : มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่เป็นวัฒนธรรมในการบริโภคข้าวเจ้า ทั้งยังมีหลักฐานจากจารึกหลักต่าง ๆของกัมพูชาที่กล่าวถึงการบูชาเทพเจ้าด้วยข้าวสาร แต่ก็มิได้ระบุอย่างชัดเจนว่า เป็นข้าวชนิดใด นอกจากนั้น หลักฐานจากพงศาวดารราชวงศ์สุย 18 ก็ได้บันทึกไว้ว่า ในสมัยของอิศานวรมัน ( พ.ศ. 1466-1471) มีการทำกสิกรรมในอาณาจักร โดยเขาปลูกข้าวเจ้าข้าวไรย์ ลูกเดือยเม็ดเล็กและเม็ดหยาบ แสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยราวพุทธศตวรรษที่ 15 ตอนปลาย ตรงกับปลายสมัยทวารวดี ที่ประเทศกัมพูชาได้ปลูกและบริโภคข้าวเจ้าแล้ว
นอกจากนั้น ยังสอดคล้องกับงานเขียนของนักวิชาการหลายท่านที่บรรยายว่าเดิมชาวนาในประเทศกัมพูชาหรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น บริโภคข้าวเมล็ดป้อม (Round-grain rice) ลักษณะคล้ายกับข้าวพันธุ์จาปอนิกาในปัจจุบัน (Japonica) ต่อมาเมื่อรับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดีย จึงได้เปลี่ยนมาบริโภคข้าวเมล็ดยาว (Long-grain rice) พันธุ์อินดิกา (Indica) ในราวปลายพุทธศตวรรษที่15-19

ดังนั้น ข้อสันนิษฐานของ ศ.ชิน อยู่ดี ที่กล่าวว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือน่าจะเริ่มกินข้าวเหนียวและปลูกข้าวเหนียวมาตั้งแต่สมัยทวารวดีระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 เป็นข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่ จนถึงราวพุทธศตวรรษที่ 16-19 จึงได้เริ่มปลูกข้าวเจ้าส่วนกัมพูชาก่อนพุทธศตวรรษที่ 15 อาจจะบริโภคข้าวเหนียว แต่ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 15ประเทศกัมพูชาก็ได้เริ่มปลูกและบริโภคข้าวเจ้า จากอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียนั่นเอง

4. ข้าวกับทฤษฎีนิเวศวิทยาทางวัฒนธรรม
ทฤษฎีนิเวศวิทยาทางประเพณีวัฒนธรรมของไทย (Cultural Ecology) เป็นทฤษฎีที่มีแนวคิดว่า สิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็เป็นผู้จัดสรรสิ่งแวดล้อมด้วย วัฒนธรรมประเพณีของมนุษย์จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่ สิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย เป็นตัวทำให้พฤติกรรมของมนุษย์หลากหลาย และสิ่งแวดล้อมที่อัตคัต จะทำให้มนุษย์คิดปรับตัวให้อยู่รอดในสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ สิ่งแวดล้อมที่ขาดแคลนจะส่งผลให้มนุษย์ต้องใช้ความคิดมากขึ้น ยิ่งคิดมาก พฤติกรรมย่อมมีมากขึ้นและดีขึ้นเพื่อที่จะเอาชนะธรรมชาติให้ได้

ดังนั้น มนุษย์จึงได้คัดเลือกข้าวป่าชนิดต่าง ๆ ตามความต้องการของตนเพื่อให้สอดคล้องกับระบบนิเวศน์ และจากลักษณะภูมิประเทศของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทำให้ปลูกข้าวเหนียวได้ผลผลิตมากที่สุด จึงทำให้ในบริเวณนี้บริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดี.อี.จี.ฮอลล์. (2549). “ชนชาติเขมรและสมัยพระนคร” ใน ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : สุวรรณภูมิ-อุษาคเนย์
ภาคพิสดาร. กรุงเทพ : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 101.
Ian Mabbette and David Chandler. (1995). “Farmers” in the Khmers. England: Silkworm Books. 148.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทั้งยังก่อให้เกิดวัฒนธรรมประเพณีไทยอีสานที่เกี่ยวข้องกับข้าวหนียวอีกด้วยนอกจากนี้ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์น่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้บริเวณนี้ต้องเลือกพันธุ์ข้าวเหนียวในการเพาะปลูกและเพื่อบริโภค สอดคล้องกับทฤษฎีทางนิเวศวิทยาวัฒนธรรมที่กล่าวว่าสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็เป็นผู้จัดสรรสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้น มนุษย์ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น ตามชุมชนที่ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ต้องแสวงหาพื้นที่ใหม่ที่สมบูรณ์กว่า เพื่อผลิตข้าวให้ได้มากขึ้น ดังนั้นจึงสอดคล้องกับทฤษฎีนิเวศวิทยาวัฒนธรรมดังที่ได้กล่าวมา

ข้าวกับวิถีชีวิตมนุษย์นั้น ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เนื่องจากมนุษย์ต้องบริโภคอาหาร ข้าวก็เป็นอาหารประเภทหนึ่ง ทั้งยังมีส่วนก่อกำเนิดประเพณีและพิธีกรรม ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ข้าว มนุษย์ ประเพณีไทยและพีธีกรรม

มีรากฐานมาจากความเชื่อของศาสนาพุทธที่ปรับให้เข้ากับจารีตพื้นบ้านและยังให้ความนับถือกับผีที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนในบริเวณนี้ชาวอีสานผู้ยึดมั่นอยู่ในจารีตประเพณีที่เรียกว่า “ฮีตบ้านคองเมือง”หรือ “ฮีตสิบสองคองสิบสี่” ที่มุ่งให้ผู้คนช่วยเหลือเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ร่วมกันทำกิจกรรมให้กับสังคมและหมู่บ้านของตน ฮีตสิบสองคองสิบสี่เป็นประเพณีที่สำคัญในรอบ 12 เดือน มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอาชีพเกษตรกรรมทำนาและปากท้องของชุมชนเป็นส่วนใหญ่ยกตัวอย่าง เช่น ประเพณีไทยเดือนยี่ทำบุณคูนลาน หรือบางครั้งเรียกว่า ทำบุญกองข้าว การทำบุญคูนลาน เป็นช่วงเวลาหลังจากที่ชาวบ้านเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วชาวนาจะนำเฉพาะข้าวเปลือกล้วน ๆ ไปสู่ลาน ทำเป็นกองเหมือนจอมปลวก ทำพิธีบวงสรวงแม่โพสพเลี้ยงพระภูมิเจ้าที่ สู่ขวัญข้าว และนิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์และถวายอาหารเป็นอันเสร็จพิธี 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อัครพงษ์ คำคูณ (2551). ฮีตสิบสอง : เอกสารวิชาการ โครงการตลาดวิชา มหาวิทยาลัยชาวบ้าน 5/2551. กรุงเทพฯ :
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การที่สังคมเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนส่งผลให้ประเพณี พิธีกรรม การดำรงชีวิตไนแต่ละภูมิภาคได้เปลี่ยนไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเดิมที่ว่า สิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยน พฤติกรรมของมนุษย์จึงเปลี่ยนตามไปด้วยโดยมีปัจจัยทั้งจากภายในและภายนอกที่ทำให้พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเปลี่ยนดังนี้

การขยายตัวของทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ และโคราช ในปี พ.ศ. 2443 ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตของชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากการปลูกข้าวเพื่อบริโภคเป็นปลูกเพื่อขาย เมื่อการขนส่งคมนาคมสะดวกขึ้น ได้ทำให้การขนส่งข้าวไปยังกรุงเทพฯสะดวกขึ้น ได้กระตุ้นให้ชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือบุกเบิกหาที่ดินใหม่ๆ และจัดสรรที่ดินบางส่วนเพื่อปลูกข้าวเจ้าเพื่อส่งไปขายนอกเหนือจากการปลูกข้าวเหนียวเพื่อบริโภคในครัวเรือน นอกจากนั้น การขยายตัวของทางรถไฟนี้ได้ทำให้อีสานมีความใกล้ชิดกับกรุงเทพฯ มากขึ้น พ่อค้าจีนได้เข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้ชได้แนะนำสินค้าใหม่ ๆ แก่ชาวนา นอกจากนั้น ประชาชนต้องใช้เงินเพื่อชำระภาษีสิ่งเหล่านี้คือเงื่อนไขที่จูงใจให้ชาวนาผลิตข้าวเพื่อขาย

ดังนั้น เพื่อการปรับตัวให้เข้ากับสภาพทางเศรษฐกิจ ชาวนาจึงจำเป็นต้องปลูกข้าวเจ้าเพื่อขายและยังรักษาการปลูกข้าวเหนียวไว้เพื่อบริโภค เนื่องจากรายได้ที่ไม่มั่นคง แต่เมื่อยังมีข้าวไว้ในยุ้งเพื่อไว้กินชาวนายังอุ่นใจเนื่องจากข้าวมีค่าเท่ากับเงิน และสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่น ๆ ในหมู่บ้านได้

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีต่อประเพณีวัฒนธรรมไทย
การนำแรงงานเครื่องจักรกลมาแทนแรงงานคนและควาย ทำให้ความสัมพันธ์ทางการผลิตหายไปจากเอามื้อเอาแรงเป็นค่าจ้าง พิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้าวและการทำนาก็เริ่มหายไปเทคโนโลยีจึงเข้ามาแทนที่บทบาทหน้าที่ของพิธีกรรม การสวดมนตร์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือการบวงสรวงบูชาเพื่อขอฝนได้หายไปจากวิถีชีวิต กลายเป็นเทคโนโลยีของการชลประทานแทนที่เป็นต้น

นอกจากนั้น ประเพณีและพิธีกรรมพื้นบ้านที่เกี่ยวกับข้าว ก็กำลังจะหายไปหรือหายไปแล้วหรือเปลี่ยนแปลง เพื่อการคงอยู่ของพิธีกรรมนั้น ๆ เช่น ประเพณีบุญคูนลานในปัจจุบันประเพณีนี้ค่อย ๆ เลือนหายไป เนื่องจากไม่ค่อยมีผู้สนใจประพฤติและปฏิบัติกันประกอบกับในทุกวันนี้ชาวนาไม่มีลานนวดข้าวเหมือนเก่าก่อน เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จและมัดข้าวเป็นฟ่อนๆ แล้ว จะขนมารวมกันไว้ ณ ที่หนึ่งของนา โดยไม่มีลานนวดข้าว

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 มณีมัย ทองอยู่. (2546). การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจชาวนาอีสาน : กรณีศึกษาลุ่มน้ำพอง. กรุงเทพฯ :
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากนั้นก็ใช้เครื่องสีข้าวมาสีเมล็ดข้าวเปลือกออกจากฟางลงใส่ในกระสอบและในปัจจุบันมีการใช้รถไถนาและเครื่องสีข้าว จึงทำให้ประเพณีคูณลานนี้เลือนหายไปแต่ก็มีหมู่บ้านบางแห่งที่ยังรวมกันทำบุญโดยนำข้าวเปลือกมากองรวมกัน เรียก "บุญกุ้มข้าวใหญ่"(ประเพณีไทยอีสาน บุญประทายข้าวเปลือก) แทนการทำบุญคูณลาน ซึ่งนับว่าเป็นการประยุกต์ใช้ "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่"ให้เหมาะกับกาลสมัย

แต่ในปัจจุบันนี้ ก็ได้มีการฟื้นฟูวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่มีความสัมพันธ์อันดีกับธรรมชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตพอเพียงในปัจจุบัน ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของชีวิตนั่นเอง

บรรณานุกรม

โขมสี แสนจิตต์. (2552). เมืองโบราณหริภุญไชย จากหลักฐานโบราณคดี. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.กรุงเทพฯ.
จิตติมา ผลเสวก (บรรณาธิการ). (2551). ข้าวบนแผ่นดินกลายเป็นอื่น. กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย.
ชาร์ลส ไฮแอม และ รัชนี ทศรัตน์. (2542). สยามดึกดำบรรพ์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสมัยสุโขทัย.
กรุงเทพฯ : ริเวอร์บุ๊คส์.
ดี.อี.จี.ฮอลล์. (2549). “ชนชาติเขมรและสมัยพระนคร” ใน ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ :สุวรรณภูมิ-อุษาคเนย์ ภาคพิสดาร. กรุงเทพ : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
มณีมัย ทองอยู่. (2546). การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจชาวนาอีสาน : กรณีศึกษาลุ่มน้ำพอง. กรุงเทพฯ :ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. ข้าว ขวัญของแผ่นดิน. (2547). กรุงเทพฯ : มูลนิธิข้าวไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2543). เบิ่งสังคมและวัฒนธรรมอีสาน. กรุงเทพ : มติชน.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (บรรณาธิการ) (2546). ข้าวปลาหมาเก้าหาง. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2549). “พลังลาว” ชาวอีสานมาจากไหน? ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ. กรุงเทพ : มติชน.
ศรีศักร วัลลิโภดม. (2533). แอ่งอารยธรรมอีสาน แฉหลักฐานโบราณคดี พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทย.
กรุงเทพ : มติชน.
อัครพงษ์ คำคูณ. (2551). ฮีตสิบสอง : เอกสารวิชาการ โครงการตลาดวิชา มหาวิทยาลัยชาวบ้าน 5/2551.
กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
เอี่ยม ทองดี. (2551). วัฒนธรรมข้าว พิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวและการทำนา.
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล.
Ian Mabbette and David Chandler. (1995). The Khmers. England: Silkworm Books.