วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วันเข้าพรรษา ที่มาของการที่ภิกษุต้องจำพรรษา

พุทธศาสนิกชนทำบุญวันเข้าพรรษา
หลายตำราและหลายบทความวันเข้าพรรษาที่กล่าวถึงที่มาของการที่ภิกษุต้องจำพรรษาเหตุผลก็คงต้องเป็นตรรกะง่ายๆที่มองเห็นภาพคือภิกษุเที่ยวจาริกไปโน่นนั่นนี่ซึ่งเป็นฤดูฝนมันลำบากมากการที่จะเคลื่นที่ไปไหนนั้นต้องเดินอย่างเดียวเพราะมีบัญญัติห้ามพระวิ่งเพราะดูไม่สำรวม

มื่อสมัยพุทธกาลพระไม่มีเจ็ทส่วนตัวไม่มีรถเบนซ์เหมือนเช่นทุกวันนี้ การเดินทางก็ยากลำบากฝนก็ตกเปียกปอน การเดินทางก็ลัดทุ่งลัดท่าเหยียบข้าวกล้าพืชผลชาวนาบ้าง เหยียบสัตว์เล็กสัตว์น้อยล้มตายบ้าง เลยเป็นที่มาของกฎการจำพรรษา

วันเข้าพรรษา  ตรงกับแรม  ๑ ค่ำ เดือน ๘ "เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำแม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยีบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ  จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอดเวลา  ๓ เดือนในฤดูฝน

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทำบุญวันออกพรรษา ประเพณีไทยตักบาตรเทโว ฟังเทศน์มหาชาติ

วันออกพรรษาไปทำบุญที่วัดนะโยม
ไกล้ถึงวันออกพรรษาแล้ว หลายๆคนคงคิดถึงบ้านเพราะเป็นวันหยุดที่หลายๆคนตั้งตารอคอย หลังจากที่ทำงานมาทั้งปีหรือว่าบางท่านทำๆหยุดๆหรือไม่หยุดเลยก็มี แต่เท่าที่จำได้ว่าเมื่อก่อนสนุกกับงานทำบุญวันออกพรรษามาก เพราะได้พบพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนสนิทมิตรสหายที่หยุดและร่วมทำบุญสร้างกิจกรรมร่วมกันทำบุญร่วมกัน ที่วัดก็มีงานมีพระเทศน์กันครึกครึ้นว่าแล้วก็อดคิดถึงบ้านไม่ได้

แต่ทว่าวันออกพรรษาปีนี้คงไม่เหมือนเดิมเพราะไม่ได้กลับบ้านอย่างแน่นอนคิดถึงพ่อแม่พี่น้อง คิดถึงเพื่อนสนิทมิตรสหายที่นานๆได้เจอกัน นี่ก็เป็นอีกปีแล้วที่ข้าพเจ้าไม่ได้กลับบ้าน

พล่ามอยู่นานจนลืมเอาสาระมาฝากคุณผู้อ่านทั้งหลาย แก่นแท้ของเนื้อหาทั้งหมดอยู่ในไฟล์ดาวน์โหลดลองโหลดไปอ่านกันโลด ส่วนน้ำจิ้มที่เอามาให้อ่านบางส่วนในบล้อกนี้ก็แค่เนื้อหาบางส่วน

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประเพณีไทยและลักษณะของประติมากรรมของพระลักษมี เทพีแห่งความมั่งคั่ง

โดยทั่วไปมักจะอธิบายลักษณะของ “พระลักษมี” ไว้คือ เป็นสตรีที่มีความงาม มี ๔ กร ประทับบนดอกบัว แต่งกายและตกแต่งด้วยเครื่องประดับมีค่า พระนางมีใบหน้าที่อ่อนโยน เยาว์วัยและมีลักษณะของความเป็นแม่ ภาพพระลักษมี ๒ กร ประทับยืนบนดอกบัว ลักษณะเด่นของภาพประติมากรรมของพระลักษมีคือ ปรากฏร่วมกับดอกบัวเสมอ

ความหมายของดอกบัวนั้นสัมพันธ์กับคำว่า ศรี-ลักษมี หมายถึง ความบริสุทธิ์และพละกำลัง รากของดอกบัวแม้จะจมอยู่ในโคลนตม แต่สามารถขึ้นมาบานเหนือน้ำได้ โดยโคลนไม่สามารถให้มีรอยมลทินได้ ดอกบัวแสดงถึงจิตใจที่ดีงามและพลังอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้น ปัทมาสนะเป็นลักษณะทั่วไปของภาพประติมานวิทยาในศาสนาฮินดู การปรากฏตัวของพระลักษมีบนดอกบัว แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ พลังแห่งการเจริญเติบโต

พระนางไม่ได้เป็นเพียงแค่อำนาจแห่งความจงรักภักดีเท่านั้น แต่เป็นอำนาจแห่งจิตวิญญาณ และเชื่อมโยงระหว่างความจงรักภักดีและอำนาจของธรรมะ ในภาพที่พระนางปรากฏออกมา การปรากฏร่วมกับดอกบัวจึงแสดงถึงการเจริญเติบโตของชีวิต ลักษณะที่เป็นที่น่าสังเกตของพระลักษมีคือ การปรากฏร่วมกับดอกบัว ซึ่งหมายถึง “น้ำ”นั้น ปรากฏออกมาใน ๓ แนวทางดังนี้

 ๑) Padma-hasta คือพระนางถือดอกบัวในกรขวา 

๒) พระนางประทับนั่งบนดอกบัวบานขนาดใหญ่ในฐานะที่เป็นบัลลังค์ (Pitha)

๓) Padma-vasini หรือ Padmalaya คือพระนางแวดล้อมด้วยก้านดอกบัวและใบที่เจริญเติบโต และพระนางถือดอกบัวในพระหัตถ์ด้วย


ภาพพระลักษมี  ๒ กร ประทับยืนบนดอกบัว



นอกจากนั้น พระลักษมียังเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์โดยรูปแบบของเทพีแห่งความมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ นิยม ๒ รูปแบบ คือ

๑) รูปสตรีกับดอกบัว ทำเป็นสตรียืนหรือนั่ง และมีดอกบัวเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยให้ดอกบัวเป็นองค์ประกอบสำคัญ และมีความสัมพันธ์กับสตรีในภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถือดอกบัว นั่งหรือยืนบนดอกบัว หรือแวดล้อมด้วยกอบัว ซึ่งประกอบด้วยดอกและใบ ในรูปที่มีองค์ประกอบแบบนี้มีชื่อว่า ศรี-ลักษมี , ศรี แปลว่า ผู้หญิง และ ลักษมี แปลว่า โชคลาภ ความเจริญ ความงาม แปลรวมว่า เทพีแห่งโชคลาภและความเจริญ

ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Category:Hindu_goddesses วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๙ Bhagwant Sahai. Iconography of Minor Hindu and Buddhist deities. (Delhi : Vishal Printers), 1975, p.164. ผาสุข อินทราวุธ. ตราดินเผารูปคช-ลักษมีและกุเวร จากเมืองนครปฐมโบราณ. นิตยสารเมืองโบราณ ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๓ สิงหาคม-พฤศจิกายน ๒๕๒๖. (กรุงเทพฯ : อักษรสัมพันธ์), ๒๕๒๖, หน้า ๙๔-๙๕.

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

เขียดขาคำกับวิถีชีวิตคนเฉียงเหนือ โดย นักสู้ธุลีดิน

เขียดขาคำ


เรื่องสั้นวิถีชีวิต ของคนอีสาน ดินแดนที่เหมือนโดนสาปให้ต้องแร้นแค้น อาชีพหลักส่วนมากก็ยึดถืออาชีพคือทำนาตามบรรพบุรุษ  ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการหลายโครงการเช่นรับจำนำข้าว ,บัตรเครดิตเกษตร โครงการที่ต่างๆที่แสนสวยหรู ชาวบ้านจนลง นักการเมืองรวยขึ้น...โอ้ชีวิตชาวนากำเหนิดเกิดมาพอลืมตาก็ยากจน....

ตอนเช้าที่อากาศอันสดใส   ของเช้าวันหนึ่งตามวิถีชีวิตชาวชนบทบ้านนาของภาคตะวันออก(เฉียงเหนือ)   ที่พบเห็นได้ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นการตักบาตรพระสงฆ์ในตอนเช้าชาวบ้านพูดคุยกันด้วยความเป็นกันเอง   แบ่งปันข้าวปลาอาหารโดยไม่มีเรื่องเงินทองเข้ามายุ่งเกียวหรือแม้กระทั้งความสามัคคีในชุมนุนช่วยงานตามบ้านต่างๆโดยไม่มีเรื่องสินจ้างใดๆ   แต่กับเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยดีและหายากยิ่งในยุคสมัยนี้ แต่ว่าตอนนี้กลับมีเสียงเพลงดังมาจากบ้านหลังหนึ่งเป็นเสียงร้องของ*ฮ้ายทิดดี    กำลังเก็บฟืนไว้ใต้ถุนบ้านซึ่งเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้พร้อมภรรยาและลูกน้อยอีกหนึ่งคน

เอาเป็นว่าวันนี้จะนำเสนอชีวิตของฮ้ายทิดดีแล้วกันเด้อ...................

"อารมณ์ดีแท้น้อฮ้ายทิดดี    "เสียงของผู้เป็นภรรยาพูดขึ้น "เฮ้อ!เฮ้อ!ฮ่ามันเป็น*หวางใจ เกี่ยวข้าว ฟาดข้าว    เอาเข้ามาเล้า   ตัดฟืนแล้วมันกะ*หวางหัวใจ   จนอยาก   *ฮ้องเพลงให้มันชื่นใจนั้นแล้ว แล้วข้อยฮ้องม่วนบ่" อ้ายทิดดีถามผู้เป็นภรรยา"โอ๊ยข้อยสิฮาก!!!" ผู้เป็นภรรยาตอบพร้อมสีหน้าไม่สู้ดี ทำเอาฮ้ายทิดเราถึงกลับซีดๆไปนิ๊ดแล้วพูดว่า "ฮื้อ!ขี้เดียดเสียงเพลงข้อยจนสิฮากเลยตี้" ผู้เป็นภรรยาตอบพร้อมทำท่าทางจะอ้วก  ทำเอาฮ้ายทิดเราจากหน้าซีดเป็นหน้าลิงตื่น "หือ!แพ้ท้อง" พอพูดจบก้ตะดกนขึ้นด้วยเสียงดัง"เย้ฝีมือเหี้ยนสิมีน้องแล้ว จ่อยมา*พี้เร็ว"  ทำเอาผู้เป็นภรรยาหน้าแดงกระซิบผู้เป็นสามีเบาๆว่า  "จุ๊ยๆๆค่อยๆแน้อายคน " ฮ้ายทิดทำหน้าทะเล้นใส่ภรรยา "อายเอ็ดหยัง...ข้อยสิได้ลูกล่ะแหม"  ภรรยาหน้าแดงก่ำฮ้ายทิดก็ไม่รีรอให้ภรรยาพูดอะไรมาก   เขาได้เอ่ยถามกับภรรยาเขา"เอ๊อ...อยากกินอีหยังล่ะ*แม่มาร"

ภรรยาพูดขึ้นว่า  "บ่ฮู้!...เป็นหยังอยากกินหมก  *เขียดขาคำ บ่ได้กินคือสิตาย*คักๆๆมันเป็นวินๆ หวิ่งๆ งึกๆ งักๆ อยากกินอีหลีฮ้ายทิด"  ภรรยาพูดเสร็จพร้อมกับการอาเจียนเต็มๆ  เสื้อของฮ้ายทิดทำเอาฮ้ายทอดต้องถอยจ๊ากไป 2  ก้าวฮ้ายทิดมองดูเสื้อตัวเก่งที่เลอะไปด้วยอ้วกของภรรยา   แต่ไม่ได้สนใจอะไรแต่กลับดีใจมากยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าภรรยาตัวเองอยากกินอะไร ทิดดีของเรารีบไปเตรียมของที่จะไปหา*เขียดขาคำ   ให้ภรรยาในตอนเย็นจนภรรยาต้องท้วงว่าเปลี่ยนเสื้อก่อนออกไปไม่งั้นคงเหม็นอ้วกแย่แน่

จนกระทั้งตหค่ำ   ฮ้ายทิดถือ*ขี้กะบองจุดไฟออกไปหา  เขียดขาคำพร้อมกับลูกชายวัยใสนามว่าจ่อยนั้นเอง  "*ย่างนำก้นพ่อมาเด้อจ่อย อย่าออกนอกทางอื่น เดี๋ยวสิหล่มปูขาหัก"  ฮ้ายทิดได้บอกกับลูกชาย   เมื่อหลังหน้านาเข้าสู่หน้าร้อน ต้นข้าวหลังเกี่ยวเริ่มล้ม เหี่ยวแห้ง...ท้องนาที่เคยชุ่มน้ำใกล้ต้นไม้ร่มครึ้ม   มักจะมีเขียดขาคำอาศัยอยู่    เสียงลูกชายวัยซนร้องขึ้น  พร้อมกระโจนไล่จับเขียดเป็นภาพที่น่ารักหาดูยากทีเดียว "อ๊า!อีพ่อ...เขียดขาคำ เต้นด๊องๆ เต็มเลย..นั้นๆเห็นบ่"  เด็กน้อยไล่จับอย่างสนุกสนานผู้เป็นพ่อหัวเราะเบาๆ  พร้อมบอกลูกชาย"  *คุบ!ลูก*คุบ...คุบโลดลูกเร็วๆ"  สองพ่อลูกช่วยกันไล่จับ  จ่อยน้อยจับได้เต็มมือจึงเอาใส่ข่อง ในค่ำคืนแห่งนี้ใต้แสงจันทร์ดวงโต   มองเห็นได้เต็มสองตาโดยไม่มีตึกราใหญ่โต  ไม่มีเสียงรถยนต์ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ  ในชนบทมีแต่เสียงของสายลมที่ลอยมา  พร้อมเสียงของจั๊กจั่นตามต้นไม้ใหญ่  สองพ่อลูกยังคงสนุกกับการหาอาหารมื้อพิเศษให้ศรีภรรยาที่บ้าน   และแม่ของหนูน้อยจ่อยนี่และชีวิตที่หากินง่ายอยู่ง่ายชีวิตพอเพียง

ตอนนี้สองพ่อลุกได้เขียดขาคำ   ได้มากพอควรก็กลับบ้านคนเป็นพ่อได้ชวนลูกกลับบ้าน  "ป่ะจ่อย พวกเฮากับบ้านกันได้แล้วเนอะ  ได้หลายแล้วล่ะพอที่จะให้แม่โตกินแล้วละ"   ร้องบอกลูก"ครับอีพ่อ"เสียงหนูน้อยตอบผู้เป็นพ่อแล้วเดินตามผู้เป็นพ่อกลับบ้านไป

"อ๊า! มาแล่ว...มากินเร้วแม่มาร......หมกเขียดขาคำ" ฮ้ายทิดยกกับข้าวพร้อมใบใหญ่ที่บานอย่างกะถาดข้าว   ฝ่ายศรีภรรยาพอเห็นกับข้าวหมกเขียดขาคำแล้วถึงกับแสดงอาการขึ้น "อึ๊ยเหม็นคาว..สิฮาก..เอาออกไป๊!!ข้อยบ่กิน ข้อยสิอยากกินต้ม*น้องงัว.."  เล่นเอาฮ้ายทิดเราเสียศูนย์ไปเสีย   "เอ๊า!มีจั่งอีก" เล่นเอาฮ้ายทิดต้องออกออกอาหารอีกหลายๆชนิดมาให้แม่มานได้กิน อิอิอิ
คงมาถึงท้ายสุดแต่ไม่สุดท้ายของวิถีชนบทบ้านนาเฮา แล้ววันต่อไปจะไปขุดคุ้ยบ้านอื่นนอกจากบ้านฮาทิดดี อีกเด้อ บ๊ายบาย......เมียแล้วเด้อ...


ให้เสียงภาษาอีสานโดย นักสู้ธุลีดิน

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

เขียดขาคำ ที่มาของน้องขาคำ


เขียดขาคำ

เนื่องจากเกิดจากแผ่นดินที่แร้นแค้นเป็นคนอีสานบ้านนอก ชีวิตก็เลยไม่หรูหราเหมือนคนกรุงหรือเมืองใหญ่ๆ เด็กบ้านนอก(อีสาน) จะใช้ชีวิตแบบลูกทุ่งยิงนกตกปลา ยิ่งเข้าสู่หน้าแล้ง เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ร้อนแล้งจนแผ่นดินแตกระแหง ถ้ามองแบบที่ไม่สร้างสรรค์ นั่นล่ะแสดงว่าสุดยอดของความแร้นแค้นแล้วล่ะ แต่สำหรับคนอีสานไม่ยอมแพ้ถึงแม้ว่าจะต้องตำน้ำกินก็ตาม

ดินที่แตกระแหงนี่แหละคือแหล่งที่มาของอาหาร งัดก้อนดินที่แตกระแหงขึ้นก็จะเจออาหาร เช่นปลาไหล กบ เขียด เป็นต้น แต่มีเขียดอยู่ชนิดหนึ่งที่ผมประทับใจในการกระโดดของมันมาก มันมีชื่อว่าเขียดขาคำ หรือเขียดบักแอ้ะ เขียดตัวเล็กๆชนิดนี้สามารถกระโดดได้ไกลอย่างต่ำเป็นเมตร และส่วนสูงไม่ได้กะระยะมา เลยไม่สามารถอธิบายได้ อีกส่วนนึงที่ชอบก็คือใต้ท้องขาของเขียดชนิดนี้มีสีเหลืองทอง สวยงามสบายตา

น้องเขียดขาคำ

สังคมของคนทุกวันนี้มีแต่การแข่งขันการสปีดตัวการการกระโดดสู่ความสำเร็จ การไปสู่เป้าหมายได้ไม่ใช่ง่าย ผมเลยตั้งชื่อลูกสาวว่าน้องเขียดขาคำ มีความหมายตามที่มาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เหตุผลที่สำคัญก็คือเค้าเกิดวันที่ 28 เดือนเมษายน 2556 เวลา 09.11น. น้ำหนัก 2.7 กก. เดือนนี้ร้อนมาก ฯลฯ บลาๆ....ติดตามตอนต่อไป